xs
xsm
sm
md
lg

“กับดัก” โต๊ะเจรจาสันติสุข

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



คอลัมน์: จุดคบไฟใต้ โดย... ไชยยงค์ มณีพิลึก
เนื่องจากผู้เขียนมีภารกิจเดินทางไปสหราชอาณาจักร 10 วัน จึงไม่ขอกล่าวถึงสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ขอเขียนถึง “กระบวนการพูดคุยสันติสุข” อีกฉากทัศน์การแก้ปัญหาที่ถูกเรียกร้องอึ่งมี่จาก “ภาคประชาสังคม” และ “เอ็นจีโอ” โดยเฉพาะที่อยู่ปีกทางการเมืองขบวนการบีอาร์เอ็น รวมถึง “นักการเมือง” ที่ต้องการเห็น “เขตปกครองตนเอง” หรือ “เขตปกครองพิเศษ”
จากการตรวจสอบพบว่า มีการอ้างเหตุสถานการณ์รุนแรงถึงขั้นพุ่งเป้าไปยัง “ไทยพุทธ” ไม่เว้นกระทั้ง “พระ” และ “เณร” รวมถึงข่มขู่เอาชีวิตครูที่เป็นเป้าหมายอ่อนแอ ทั้งเป็นผลจากการหยุดชะงักอย่างสิ้นเชิงของกระบวนการคุยสันติสุข นับตั้งแต่ “พรรคเพื่อไทย” เป็นแกนนำจัดตั้ง “รัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน” ต่อเนื่องถึง “รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร” ในปัจจุบัน
เป็นที่น่าสังเกตว่าองค์กรที่ออกมาร้องแรกแหกระเชอจี้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงและ รมว.กลาโหม ซึ่งกำกับดูแลงานดับไฟใต้ ล้วนแล้วแต่ที่อยู่ภายใต้การ “ชี้นำ” หรือ “รับเงิน” สนับสนุนจาก “เอ็นจีโอต่างชาติ” โดยเฉพาะชาติตะวันตกอย่าง “Centre for Humanitarian Dialogue (HD)” หรือ “เจนีวาคอลล์” เป็นต้น
ซึ่งองค์กรต่างชาติดังกล่าว รวมถึง “สหภาพยุโรป (EU) ” และอีกหลายประเทศ วันนี้ได้กลายเป็น “หุ้นส่วน” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน โดยสนับสนุนให้ปีกทางการเมืองบีอาร์เอ็นกดดันรัฐบาลไทยให้เร่งเปิดเวทีเจรจา แถมยังขู่ว่ายิ่งล่าช้ายิ่งจะทำให้สถานการณ์รุนแรงขึ้น และคนไทยพุทธอาจตกที่นั่งลำบากมากขึ้น
มีความจริงอีกด้านที่คนไทยควรรับรู้ ที่ภาคประชาสังคมเหล่านี้กดดันรัฐบาลเพราะอยู่ภายใต้การชี้นำขององค์กรชาติตะวันตกที่มี “จุดประสงค์ซ่อนเร้น” หากทำให้แผ่นดินปลายด้ามขวานไทยเป็น “ประเทศใหม่” กระทั่งแค่ได้เป็น “เขตปกครองพิเศษ” หรือ “เขตปกครองตนเอง” จะมีส่วนร่วม “แบ่งปันอำนาจ” และ “แชร์ผลประโยชน์” โดยเฉพาะทรัพยากรมหาศาลทางทะเล
หันมาดูฟากฝั่งรัฐบาลว่ามีความพร้อมตั้งโต๊ะพูดคุยสันติสุขกับบีอาร์เอ็นมากน้อยแค่ไหน และหากไม่เดินหน้าจะสามารถรับมือไฟใต้ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นอีกได้หรือไม่
ประเด็นแรก นายภูมิธรรม เวชยชัย ยืนยันว่าพร้อมจะตั้งโต๊ะพูดคุยกับบีอาร์เอ็น แต่ต้องเป็นการเจรจาภายใต้รัฐธรรมนูญไทย นั่นคือต้องไม่มีเรื่อง “แบ่งแยกดินแดน” และก่อนเจรจาฝ่ายบีอาร์เอ็นต้องสั่งการให้กองกำลังติดอาวุธ “หยุดการก่อเหตุร้าย” เพราะเปล่าประโยชน์ที่จะพูดคุยกันไป แล้วเข่นฆ่ากันไป เอาแค่ 2 ข้อนี้เป็นหลักก่อน ถ้าฝ่ายบีอาร์เอ็นรับปากก็พร้อมเดินหน้าทันที
ส่วนประเด็นอื่นๆ เช่นต้องยึดหลัก “สังคมพหุวัฒนธรรม” และการ “เปลี่ยนตัวหัวหน้าคณะพูดคุย” ฝ่ายบีอาร์เอ็นจาก “นายหิพนี มะเระ” เป็นคนอื่นที่มี “อำนาจ” หรือเป็น “แกนนำ” แท้จริง เหล่านี้ถือเป็นประเด็นรองที่มีความสำคัญน้อยกว่า
ถ้าติดตามความเคลื่อนไหวใกล้ชิดจะเห็นว่า เงื่อนไขของนายภูมิธรรม เวชยชัย “ไม่มีการตอบสนอง” ใดๆ จากฝั่งบีอาร์เอ็นเลย เพราะนับแต่สิ้นสุดเดือนรอมฎอนปรากฏว่าขบวนการมีการออก “แถลงการณ์” เพียงเรื่องเดียวคือ การปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ก่อเหตุยิงไทยพุทธที่ ต.โฆษิต อ.ตากใบ จ.นราธิวาส แถมนักสังเกตการณ์ไฟใต้ยังจับพิรุธว่าเป็น “ของปลอม” ไปเสียอีก
สำหรับกรณีที่มีข่าวว่ารัฐบาลตั้งเงื่อนไขขอเจรจากับ “ตัวจริง” ของฝ่ายบีอาร์เอ็น เรื่องนี้ต้องถามไปนายภูมิธรรม เวชยชัย ว่าต้องการจะไปเจรจากับใคร เพราะยังไม่รู้ว่า ณ วันนี้ “สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)” ที่เป็นตัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อนกระบวนการพูดคุยสันติสุข ได้รายชื่อหัวหน้าคณะพูดคุยจากฝ่ายบีอาร์เอ็นแล้วหรือยัง และรายเหล่านั้นเป็น “ของจริง” หรือ “ของปลอม”
ความจริงแล้วบีอาร์เอ็นว่าสถานะตัวเองเป็น “องค์กรลับ” จึงปรากฏยุทธวิธีทำสงครามแบบ “กองโจร” กล่าวคือมีกองกำลังติดอาวุธ มีแนวร่วม แต่ไม่แต่งเครื่องแบบ ไม่ประกาศพื้นที่ยึดครอง หลังก่อเหตุร้ายไม่ยอมรับว่าเป็นฝีมือฝ่ายตน และเมื่อถูกกล่าวหาก็ไม่เคยปฏิเสธว่าไม่ใช่
รายชื่อหัวหน้าและคณะเจรจาฝ่ายบีอาร์เอ็นที่อยู่ในมือรัฐบาลล้วนได้จาก “หน่วยข่าว” ไม่ว่าจาก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ตำรวจสันติบาล สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติและอื่นๆ โดยเป็นการ “หาข่าวทางลับ” ทั้งสิ้น แทบทุกคนคือตัวแทนขบวนการจริง แต่ไม่ใช่คนสำคัญ เป็นได้ “ตัวเปิด” ที่ส่งมาให้ทำหน้าที่ “นายไปรษณีย์” เท่านั้น
มีข้อสังเกตสำคัญยิ่งคือ รายชื่อคณะพูดคุยฝ่ายบีอาร์เอ็นที่หน่วยข่าวได้มา ส่วนใหญ่เป็นคนใน “ปีกการเมือง” ที่เห็นด้วยกับการพูดคุย ไม่ใช่ “ปีกการทหาร” ที่มีอำนาจตัดสินใจ
อีกทั้งที่ต้องย้ำให้รับรู้กันคือ “แกนนำปีกทหาร” บีอาร์เอ็น “ไม่เห็นด้วยการการเจรจา” เพื่อให้ได้มาแค่ “เขตปกครองพิเศษ” หรือ “ปกครองตนเอง” แต่ต้องการ “แบ่งแยกดินแดน” ตั้งเป็นรัฐเอกราชเท่านั้น
ดังนั้นถ้ารัฐบาลยังไม่รู้ว่า “ประธาน” กับ “เลขาธิการ” กระทั่ง “ผบ.กองกำลังติดอาวุธ” และ “ผู้นำจิตวิญญาณ” ของฝ่ายบีอาร์เอ็นคือใคร ถามว่าแล้วนายภูมิธรรม เวชยชัย ที่พร้อมตั้งคณะตัวแทนรัฐบาลไทยไปเจรจาด้วยนั้น สิ่งที่จะได้ตามมาถือว่าคุ้มค่าหรือไม่
สุดท้ายขอถามนายภูมิธรรม เวชยชัย ว่าได้มีการ “เคาะชื่อ” หัวหน้าและคณะพูดคุยสันติสุขฝ่ายไทยแล้วหรือยัง เพราะเวลานี้ทราบมาว่าไม่ใช่ทั้ง “พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก” และ “พล.อ.ชินวัฒน์ แม้นเดช” ที่เคยเป็นตัวเต็ง แต่ล่าสุดมีชื่อของ “พล.อ.ธิวา เพ็ญเขตกรณ์” นายทหารรุ่น 18 อดีตเจ้ากรมข่าวและที่ปรึกษาพิเศษกองบัญชาการกองทัพไทยมาแทนที่
อย่างไรก็ตาม เวลานี้ยังไม่รู้ว่ารัฐบาลจะมีการเปลี่ยนตัวเป็นใครอีกหรือไม่ ซึ่งก็ขอตั้งข้อสังเกตไว้ ณ ที่นี้ว่าทุก “ตัวเล่น” ที่มีชื่อว่าอาจถูกเคาะให้เป็น “หัวหน้าคณะ” ฝ่ายไทยนั้น หากนำมาเทียบฟอร์มกับผู้ที่เคยนั่งตำแหน่งนี้ที่ผ่านมา ต้องนับว่าทุกรายชื่อยังไม่มีใครโดดเด่นกว่าคนในอดีต
ทั้งหมดคือสถานการณ์ของความ “ไม่ก้าวหน้า” ในการขับเคลื่อน “กระบวนการพูดคุยสันติสุข” ที่สำคัญรัฐบาลต้องอย่าเชื่อตามเสียงร้องแรกแหกระเชอและข่มขู่ขององค์กรต่างๆ ที่ยืนเคียงข้างบีอาร์เอ็น ด้วยข้ออ้างการเจรจาเท่านั้นที่จะทำให้ “ไฟใต้” มอดดับ เพราะแท้จริงแล้วเป็นเรื่อง “หวังประโยชน์” ของ “องค์กรต่างชาติ” ทั้งสิ้น


กำลังโหลดความคิดเห็น