คอลัมน์: จุดคบไฟใต้ โดย... ไชยยงค์ มณีพิลึก
ความรุนแรงที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ดำเนินต่อภายใต้เกมรุกของบีอาร์เอ็น ขณะที่ฝ่ายความมั่นคงทั้งรัฐบาลและกองทัพยังตกเป็นฝ่ายรับ เวลานี้ย่างเข้าปีที่ 21 ของสถานการณ์ไฟใต้ เราจึงยังมองเห็นแต่ “ความสูญเสีย” แบบแทบไม่มี “ทางออก” จากความรุนแรงที่เกิดขึ้น
ล่าสุด “สามเณรวงศกร” อายุ 16 ปี บุตรของ ร.ต.ท.วัฒนา ชูมาปาน ตำรวจ สภ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ที่เข้าร่วมโครงการบวชภาคฤดูร้อน ได้ตกเป็นเหยื่อกราดยิงอีกศพ ขณะที่พระและเณรอีก 5 รูปที่เดินทางโดยรถยนต์ของบิดาเณรที่มรณภาพไปบิณฑบาตด้วยกันต่างได้รับบาดเจ็บ
21 ปีไฟใต้ระลอกใหม่มีผู้สังเวยชีพไปแล้วกว่า 7,000 คน นอกจากเจ้าหน้าที่และประชาชนแล้ว ในจำนวนนั้นยังมีพระและเณร 22 ศพ วัดหลายแห่งโดนก่อเหตุวินาศกรรม บางวัดถึงขั้นถูกทิ้งร้าง ไม่เพียงเท่านั้นทั้งพระ เณร รวมทั้งชาวพุทธในละแวกวัดยังถูกคุกคามจนต้องโยกย้ายออกจากพื้นที่
ยิ่งเห็นได้ชัดขึ้นเมื่อพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำเที่ยวล่าสุดจัดตั้งรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ต่อเนื่องถึง รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ซึ่งมีภาพของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้มากบารมีทำหน้าที่ “เสือกทุกเรื่อง” หรือที่เจ้าตัวบอกว่า “สทร.” มาเกือบ 2 ปี ความรุนแรงบนแผ่นดินไฟใต้กลับมีแต่ยิ่งลุกโชนต่อเนื่อง
เช่นเดียวกันผู้มีหน้าที่รับผิดชอบคือ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ควบ รวม.กลาโหม ที่ส่งทอดจาก “สหายแสง” สุทิน คลังแสง ของรัฐบาลก่อนมาสู่ “สหายใหญ่” ภูมิธรรม เวชยชัย รัฐบาลปัจจุบัน และในเวลานี้ “สทร.” เองก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาประธานอาเซียนคือ อันวา อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งถือว่าเกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกับมาตรการดับไฟใต้โดยตรง แต่ก็ไม่เคยปรากฏภาพ “กล้าตัดสินใจ” แก้ปัญหาจริงจังให้เห็น
ประเด็นนี้พิสูจน์ได้จากกองกำลังติดอาวุธของฝ่ายบีอาร์เอ็นที่รู้กันอยู่ว่ามีจำนวนไม่มากมายอะไรนัก แต่กลับเคลื่อนไหวลอบวางระเบิดหรือซุ่มโจมตีเป้าหมายที่ต้องการในพื้นที่ 3 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย ได้เหมือนไม่มีการกำจัดเสรีภาพ
มีสิ่งที่ยืนยันได้อีกคือ มีเหตุต่อเนื่องก่อนสามเณรมรณภาพหลายเหตุการณ์ อาทิ ใช้สามล้อพ่วงข้างซุกระเบิด 70 กิโลกรัมวางบึ้มรั้วแฟลตตำรวจ สภ.โคกเคียน อ.เมือง จ.นราธิวาส มีตำรวจและเด็กนักเรียนบาดเจ็บกว่า 10 ราย รถยนต์และบ้านเรือนเสียหายจำนวนมาก กราดยิงตำรวจและชาวไทยพุทธบาดเจ็บ 7-8 รายที่บ้านฆอเลาะทูวอ ต.แว้ง อ.แว้ง จ.นราธิวาส และโจมตีอาสารักษาดินแดนที่ ต.น้ำดำ อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี บาดเจ็บ 6 นาย เป็นต้น
ดูเหมือนเวลานี้สถานการณ์มีแต่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เพราะรัฐบาลเองก็เอาแต่ “สร้างภาพ” โดยเฉพาะ “สหายใหญ่” ทำหน้าที่แค่เรียกหัวหน้าหน่วยที่เกี่ยวข้อง “ประชุมแล้วประชุมอีก” ไม่ว่าจะแม่ทัพภาคที่ 4/ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 รวมถึงฝ่ายปกครอง แต่กลับไม่มีข่าวกล้าตัดสินใจปรับเปลี่ยน “ยุทธศาสตร์” หรือ “ยุทธวิธี” ออกมาให้ได้
มีคำสั่งให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไปทำ “ยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ใหม่” เพราะถ้าที่ใช้อยู่ถูกต้อง ทำไมสถานการณ์ไม่ดีขึ้น แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครเห็นยุทธศาสตร์ฉบับใหม่ว่ามีหน้าตาอย่างไร ที่มีข่าวก็แค่ สมช.จัดสัมมนาถอดบทเรียนกระบวนการพูดคุยสันติสุข มีการระดมอดีต หัวหน้าคณะพูดคุย และบรรดาที่ปรึกษา ที่ทำหน้าที่ต่อเนื่องยาวนานมาสุมหัวกัน ใช้งบประมาณไปมาก แต่กลับไม่เห็นผลสัมฤทธิ์ใดๆ
เช่นเดียวกันดูเหมือนว่าเวทีเจรจาที่จัดขึ้นตลอด 13 ปีระหว่างตัวแทนรัฐไทยกับบีอาร์เอ็น ภาพที่เห็นมาตลอดเป็นแค่ “การพูดคุยกันเพื่อให้ได้ใช้งบประมาณ” เพราะข้อเสนอที่มีก็เป็นอะไรที่แบบ “ขี่ม้าเลียบค่าย” โดยไม่ได้คาดหวังความสำเร็จใดๆ สังคมจึงยังไม่เคยเห็นผลบรรลุที่เป็นแนวทางยุติไฟใต้ที่ชัดเจนเลยสักครั้งเดียว
เวลานี้แม้ “สหายใหญ่” จะตั้งคณะที่ปรึกษา แบบมีทั้งชุดเล็กและชุดใหญ่เต็มไปหมด แต่ก็ไม่เคยเห็นภาพของการกล้าตัดสินใจเดินหน้าโต๊ะพูดคุยสันติสุขว่าจะไปในทิศทางไหน และที่สำคัญก็ไม่เคยมีภาพว่าจะใช้การเจรจาเพื่อนำไปสู่การยุติการก่อเหตุรุนแรงได้อย่างไร มีแต่ภาพว่าคู่เจรจาที่มาเลเซียจัดหามาให้ ล้วนแล้วแต่เป็นคนขอบขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ไม่ใช่ผู้มีอำนาจแท้จริง โดยเฉพาะผู้ที่สั่งการต่อกองกำลังติดอาวุธบีอาร์เอ็นได้อย่างมีนัยสำคัญ
หรือว่าสิ่งนี้ “สหายใหญ่” เองก็รับรู้มาตลอด เลยทำให้ไม่กล้าตัดสินใจใดๆ แล้วเลือกที่จะ “รำวงกันไปเรื่อย” โดยไม่มีสาระอะไรเลยที่จับต้องได้เกี่ยวกับการผลักดันมาตรการดับไฟใต้ที่เป็นชิ้นเป็นอัน
ดังนี้จึงอยากตะโกนถามออกไปดังๆ ว่าหมดเวลารัฐบาล “รำวงเลียบค่าย” แล้วหรือยัง ถึงเวลาที่ต้องกล้าตัดสินใจเดินหน้ามาตรการดับไฟใต้ที่เป็นรูปธรรมแล้วหรือยัง ที่สำคัญถ้า “สหายใหญ่” เห็นว่าการเจรจาไม่มีประโยชน์ เพราะไม่ใช่ “ตัวจริง” ของฝ่ายบีอาร์เอ็น รัฐบาลก็ควรประกาศให้ชัดเจนไปเลยไหมว่าขอ “ล้มโต๊ะพูดคุยสันติสุข” อันจอมปลอมนั้นเสีย
พร้อมๆ กันนั้นรัฐไทยเองยังจะหยุดการ “แทรกแซง” จากบรรดาองค์กรชาติตะวันตก ที่ขอเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการเจรจาได้ด้วย ถ้าทำได้เยี่ยงนี้เชื่อว่าจะทำให้การมอบหมายให้ สมช.จัดทำนโยบายดับไฟใต้ฉบับใหม่ไม่ต้องไป “ยึดติด” กับพวกฝรั่งหัวแดง ที่ชัก “น้ำเข้าลึก ชัดศึกเข้าบ้าน” อย่างที่เห็นๆ กันอยู่
สิ่งที่ “สหายใหญ่” ต้องเร่งดำเนินการคือ จัดการกับทั้ง “แนวร่วม” และ “กองกำลังติดอาวุธ” ฝ่ายตรงข้ามที่ยังเคลื่อนไหวอยู่ให้ได้ โดยเฉพาะต้องทำลาย “โครงสร้างอำนาจ” และ “เครือข่าย” บีอาร์เอ็นที่มีผลต่อการสั่งการในพื้นที่ ซึ่งถ้าทำได้เชื่อว่าบรรดา “แกนนำที่ฝังตัวอยู่ในมาเลเซีย” ก็จะอ่อนแอลงและหมดบทบาทไปในที่สุด
ที่สำคัญยิ่งคือ “สหายใหญ่” ต้องจริงใจนำ “ชุดความจริง” ของไฟใต้ที่มีอยู่มากมายจาก “หลายหน่วยงาน” ไม่ว่าที่ได้รับจากทหาร ตำรวจ หรือฝ่ายปกครอง กระทั่งจาก “ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้” (ศอ.บต.) มากางให้สังคมรับรู้ แล้วบูรณาการให้เหลือเพียง “ชุดความจริงเดียว” เพื่อไปใช้ต่อยอดเป็นมาตรการดับไฟใต้ของรัฐบาล
ประเด็นนี้สำคัญนัก เพราะถ้าทำได้ต่อไปรัฐบาลก็ไม่ต้องพึ่งพากระบวนการพูดคุยสันติสุขที่ “ไม่มีความจริงใจ” จากฝ่ายบีอาร์เอ็น และ “ไม่ต้องหวาดระแวง” กับการแทรกแซงขององค์กรชาติตะวันตกที่ชอบอ้าง “เพื่อสันติภาพ” ต่างๆ นานา แต่ลึกๆ แล้วกลับไว้วางใจไม่ได้ เพราะมีแต่ “ผลประโยชน์แอบแฝง” ไม่แตกต่างจากขบวนการบีอาร์เอ็น
สุดท้ายก็ต้องขอตะโกนถามดังๆ ต่อ “สหายใหญ่” แบบให้ดังไปถึงหู “สทร.” ผู้มากบารมีและเป็นเจ้านายตัวจริงว่า ถึงเวลากล้าตัดสินใจเดินหน้าเพื่อจัดทำ “คัมภีร์” หรือ “นโยบายการดับไฟใต้ฉบับใหม่” ให้เห็นมาตรการต่างๆ ได้ชัดเจนแจ๋วแหว๋วเพื่อให้ไฟใต้ได้มอบดับ ไม่ใช่ให้ลุกโชนได้ต่อเนื่องแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้แล้วหรือยัง