ชุมพร - ชุดเฉพาะกิจเพื่อรับมือภัยคุกคามต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร สรุปสำนวนสอบสวนภัยความมั่นคงชายแดนไทย-เมียนมา ด้านชุมพร-ระนอง พบทำกันเป็นขบวนการใหญ่ กว่า10 คน ส่งถึงมือ ปปช.-ปปป.สอบสวนกลางแล้ว
วันนี้ ( 23 เม.ย.68) กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.)แกองทัพ ภาค 4 นำโดย พ.อ.ดุสิต เกษรแก้ว หัวหน้าคณะทำงานชุดเฉพาะกิจเพื่อรับมือภัยคุกคามต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรในพื้นที่ชายแดนชุมพร-ระนอง ร่วมกับ ร.ต.ต.พงศกร มีพันธุ์ ผอ.ส่วนสอบสวน 4 สำนักสอบสวน 4 สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ลงพื้นที่สอบสวนในทางลับ พบมีกลุ่มบุคคล ร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐ และคนต่างชาติ เข้าไปบุกรุกแผ้วถางทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จัดสรรที่ดินนอกราชอาณาจักร หลอกขายให้กับคนไทย ค้ามนุษย์ ซ่องสุมกำลังพล อาวุธ และสิ่งผิดกฎหมายอื่นๆ ลักลอบเข้าออกชายแดนไทย-เมียนมา ในพื้นที่เขตคุ้มครองของกองกำลังกะเหรี่ยง
โดยกลุ่มบุคคลที่กระทำความผิดดังกล่าวในพื้นที่ชายแดนด้านตำบลรับร่อ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร มีความเชื่อมโยงร่วมกันกับแก๊งคนไทยและชาวต่างชาติ ในพื้นที่ อ.กระบุรี จ.ระนอง ตามข่าวที่เสนอมาอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น
ภายหลังชุดเฉพาะกิจเพื่อรับมือภัยคุกคามต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรในพื้นที่ชายแดน ร่วมกับตำรวจชุดสอบสวนภาค 8 ตามคำสั่งของแม่ทัพภาคที่ 4 ใช้เวลาลงพื้นที่เก็บรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานนานเกือบ 1 เดือน ระหว่างวันที่ 4 - 28 มีนาคม 68 ขณะนี้ได้สรุปสำนวนผลการสอบสวนเรียบร้อยแล้ว พบมีการกระทำความตามประมวลกฎหมายอาญา ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายนอกราชอาณาจักร มาตรา 127 ฐานกระทำการใดๆเพื่อให้เกิดเหตุร้ายแก่ประเทศจากภายนอก ความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้าย, มาตรา 135/1 ผู้ใดกระทำการอันเป็นความผิดอาญาดังต่อไปนี้(3) กระทำการอันใดก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐใดรัฐหนึ่ง หรือของบุคคลใดหรือต่อสิ่งแวดล้อมอันก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญฯลฯ เพื่อสร้างความปั่นป่วนโดยให้เกิดความกลัวในหมู่ประชาชน,
ความผิดตามมาตรา 135 /2 ผู้ใด(2)สะสมกำลังพลหรืออาวุธ จัดหาหรือรวบรวมทรัพย์สินให้ หรือรับการฝึกการก่อการร้าย ตระเตรียมการอื่นใด หรือสมคบกันเพื่อก่อการร้าย หรือกระทำความผิดใดๆ อันเป็นส่วนของแผนการเพื่อก่อการร้าย หรือยุยงประชาชนให้เข้ามีส่วนร่วมในการก่อการร้าย หรือรู้ว่ามีผู้จะก่อการร้ายแล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้, มาตรา 135/3 ผู้ใดเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดตามมาตรา 135/1 หรือมาตรา 135/2 รับโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้นๆ , มาตรา 157 ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
ความผิดตาม พรบ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 ความผิดตาม พรบ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 และ พรบ.ป่าไม้ 2484 ความผิดตาม พรบ.ศุลกากร พ.ศ.2560 ความผิดตาม พรบ.ป้องกันและปราบปราบการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 ความผิดตาม พรบ.ป้องกันและปราบปราบการฟอกเงิน พ.ศ.2542
โดย พล.ท.ไพศาล หนูสังข์ แม่ทัพภาคที่4 ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้มอบหมายให้ พ.อ.ดุสิต เกษรแก้ว ได้นำส่งสำนวนผลการสอบสวนมอบให้กับ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.)เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากผู้กระทำความผิดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐร่วมกับบุคคลธรรมดา เพื่อดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ขณะเดียวกัน ร.ต.ต.พงศกร มีพันธุ์ ผอ.ส่วนสอบสวน 4 สำนักสอบสวน 4 สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้นำพยานและหลักฐานเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.)กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อดำเนินการตามกฎหมายเป็นที่เรียบแล้วเช่นกัน
โดยผลการสอบสวนมีการสอบปากคำพยานบุคคลทั้งบุคคลที่กันเป็นพยานและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ทั้งคนไทย กะเหรี่ยง ชาวโรฮิงญา จำนวน 25 ปาก พยานเอกสาร พยานวัตถุ บัญชีเส้นทางการเงิน คลิปเสียงสนทนา ภาพถ่าย คลิปภาพวิดีโอเคลื่อนไหว และอื่นๆอีกหลายรายการ
จากการสอบสวนพยานหลักฐานทั้งหมดพบว่า กลุ่มบุคคลคลดังกล่าวกระทำผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันทำเป็นกระบวนการใหญ่ ทั้งในราชอาณาจักร และนอกราชอาณาจักร เป็นภัยต่อความมั่นคง เป็นการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระ หลายฐานความผิด บุคคลที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดร่วมมือกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของรัฐ และบุคคลธรรมดา มีมากกว่า10 คน มีชื่อ ที่อยู่ ระบุตัวตนชัดเจน เป็นตัวการร่วมกัน โดยมีผู้นำท้องที่ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายปกครอง เป็นตัวการใหญ่ และมีระดับผู้บังคับบัญชา 2 หน่วยงาน ของฝ่ายปกครองและทหารในพื้นที่ชายแดน เข้าข่ายมีส่วนเกี่ยวข้อง และปล่อยปละละเลยหรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ด้วย
โดยผลการสอบสวนพบว่าพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ด้านตำบลรับร่อ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร มีการใช้รถแบ็คโฮลักลอบปรับไถเปิดจุดชายแดนเข้าออกนอกราชอาณาจักรมากกว่า 10 จุด และใช้เป็นเส้นทางเข้าออกประจำ 5 จุด เข้าออกกันอย่างเสรีไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแล ใช้เป็นเส้นทางขนสินค้าเกษตร ยางพารา ปาล์มน้ำมัน โดยไม่ผ่านพิธีการทางศุลกากร ลักลอบขนไม้เถื่อน แร่เถื่อน แรงงานเถื่อน ค้ามนุษย์ชาวโรฮิงญา ซึ่งตั้งแคมป์อยู่ห่างชายแดนประมาณ 5 กม. มีชาวโรฮิงญาประมาณ 400-500 คน มีการนำรถแบ็คโฮเข้าไปไถปรับพื้นที่นอกราชอาณจักร ในเขตคุ้มครองทหารกะเหรี่ยง KTLA จัดสรรหลอกขายให้กับคนไทยมากกว่า 1 พันไร่ ราคาไร่ละ 50,000 -100,000 บาท มีผู้นำท้องที่บางคนเป็นเจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายปกครองเป็นตัวการใหญ่ ร่วมกับบุคคลธรรมดากระทำความผิดกันเป็นขบวนการใหญ่ มีการจ่ายผลประโยชน์ให้หน่วยงานตามชายแดน โดยมี "นายสมาน" สัญชาติไทยชื่อจริงนามสกุลจริงมีภูมิลำเนาอยู่ทางภาคเหนือ อ้างตัวเป็นนายพลกะเหรี่ยง และอ้างว่าสนิทกับทหารไทย คอยติดต่อประสานงานกับทางการไทย
ส่วนพื้นที่ชายแดนด้านอำเภอกระบุรี จ.ระนอง มีกลุ่มบุคคลตามหลักฐานผลการสอบสวน ตามภาพถ่ายที่ระบุตัวตนชื่อที่อยู่ ได้ชักชวนหลอกคนไทยเข้าไปซื้อที่ดินนอกราชอาณาจักร เดินทางเข้าออกกันบริเวณช่องทางธรรมชาติ บ้านรังแตน อ.กระบุรี มีการตั้งชื่อหมู่บ้านนอกราชอาณาจักรว่า "หมู่บ้านอินทนินงาม" มีกลุ่มคนไทยหลายกลุ่ม เข้าไปสร้างที่อยู่อาศัย มีร้านค้า ร้านอาหาร ทำการเกษตรยางพารา ปาล์มน้ำมัน และอื่นๆ นำผลผลิตออกมาขายฝั่งไทย มีการซ่องสุมอาวุธ ตั้งกองกำลังติดอาวุธ ในพื้นที่ดังกล่าว มี "ผู้กองกระทิง" ผู้นำกองกำลังทหารกะเหรี่ยง ทำหน้าที่คอยดูแลความปลอดภัย และจัดทำบัตรประจำตัวพร้อมระหัสติดรูปถ่าย ไว้สำหรับการเข้าออกผ่านแดน และตั้งกลุ่มไลน์ชื่อ "อินทนินงาม" ไว้ติดต่อสื่อสารกัน มีสมาชิกจำนวน 140 คน โดยหมู่บ้านอินทนินงาม ที่อยู่นอกราชอาณาจักรไทย ใกล้ชายแดน อ.กระบุรี จ.ระนอง มีถนนที่กองกำลังกะเหรี่ยงสร้างไว้สามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้ระหว่างชายแดนด้าน ตำบลรับร่อ อ.ท่าแซะ จ.ชุมพร ห่างกันประมาณ 40 กม.
นอกจากนี้ทางกองทัพบกยังได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากกรณีดังกล่าวด้วย เนื่องจากหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องในพื้นที่รายงานข้อมูล ไม่ตรงตามข้อเท็จจริง และผลการสอบสวนของคณะทำงานชุดเฉพาะกิจฯ ในพื้นที่ชายแดนชุมพร-ระนอง และข่าวตามที่สื่อมวลชนนำเสนอ ซึ่งหากมีความคืบหน้าจะนำเสนอต่อไป