ศูนย์ข่าวภูเก็ต - สนข.สรุปผลการศึกษาระบบขนส่งสาธาณะในภูเก็ต ให้นำรถ EV BUS วิ่งใน 10 เส้นทาง ระหว่างรอรถไฟฟ้ารางเบา ให้รัฐลงทุนจ้างเอกชนเดินรถ 10 สาย ใช้รถ 220 คัน ครอบคลุมพื้นที่ทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก รวมถึงตัวเมืองภูเก็ต
วันนี้ (24 มี.ค.) สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ร่วมกับบริษัทที่ปรึกษา ประกอบด้วย บริษัท ทรานสคอนซัลท์ จำกัด บริษัท โชติจินดา คอนซัลแตนท์ จำกัด จัดสัมมนาชี้แจงผลการศึกษาวิเคราะห์ข้อมูลการเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะในเขตเมืองหลักในภูมิภาค เพื่อชี้แจ้งผลการศึกษาและรับฟังความคิดเห็น โดยมีนายโสภณ สุวรรณรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เป็นประธาน และมีนายสุรพงษ์ เมี้ยนมิตร รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร หน่วยงานภาครัฐ เอกชน ผู้ประกอบการขนส่ง และประชาชนชาวภูเก็ตเข้าร่วม ณ โรงแรมดารา ภูเก็ต
ทั้งนี้ เนื่องจาก สนข.ได้รับมอบหมายจากกระทรวงคมนาคมให้ทำการศึกษาสำรวจเพื่อขับเคลื่อนประเด็นแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ เป้าหมายการเดินทางด้วยระบบขนสาธารณะในเขตเมืองหลักภูมิภาค เพื่อให้มีข้อมูลระบบขนส่งสาธารณะในเมืองภูมิภาคอย่างครบถ้วน เพื่อจัดเก็บข้อมูลการเดินทางของประชาชน 11 จังหวัด ประกอบด้วย เชียงใหม่ เชียงราย อุดรธานี พิษณุโลก อุบลราชธานี ขอนแก่น นครราชสีมา อยุธยา สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต สงขลา (หาดใหญ่) เพื่อจัดทำแผนพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะและการจราจร พัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้มีคุณภาพ ให้บริการที่ดี มีมาตรฐาน มีความทันสมัย สะดวกสบาย ในอัตราค่าโดยสารที่เหมาะสม เพื่อกระตุ้นให้คนหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะมากขึ้น
โดยในส่วนของจังหวัดภูเก็ตนั้น ผลการศึกษาพบว่าภูเก็ตได้มีการศึกษาระบบขนส่งสาธารณะที่เป็นรถไฟฟ้ารางเบามาระยะหนึ่งแล้ว และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนที่ทาง รฟม.จะศึกษาทบทวนถึงรูปแบบของรถไฟฟ้ารางเบาว่าจะเป็นแบบไหน ซึ่งคาดว่าจะต้องใช้เวลาในการดำเนินการ การศึกษาได้เสนอให้มีการนำรถโดยสารประจำทางไฟฟ้า หรือ EV BUS มาให้บริการในช่วงที่รถไฟฟ้ารางเบายังไม่เกิด ทั้งหมด 10 เส้นทาง จำนวน 775 ป้ายหยุดรถ รวมระยะทางโครงข่ายการให้บริการรวม 567 กิโลเมตร (ไป-กลับ) โดยมีเป้าหมายการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ 379,225 คน ในรัศมี 400 เมตรจากป้ายหยุดรถ คิดเป็น 48% รูปแบบการเดินรถเป็นแบบเดินรถตามตารางเวลา
โดย 10 เส้นทางที่กำหนดไว้นั้นจะครอบคลุมพื้นที่สำคัญๆ ทั้งฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกของเกาะภูเก็ต ตั้งแต่หัวเกาะไปจนถึงท้ายเกาะ ทั้งสนามบิน บขส. แหล่งท่องเที่ยว โรงเรียน โรงพยาบาล ตัวเมืองภูเก็ต ประกอบด้วย สายที่ 1 ด่านท่าฉัตรไชย-ห้าแยกฉลอง ระยะทาง 112.9 กม. 147 ป้าย สายที่ 2 ท่าอากาศยานภูเก็ต-ราไวย์ ระยะทาง 94 กม.178 ป้าย สายที่ 3 หาดบางเทา-สถานแสดงพันธุ์สัตว์น้ำภูเก็ต 70 กม. 148 ป้าย สายที่ 4 ท่าอากาศยานภูเก็ต-หาดราไวย์ ระยะทาง118 กม.170 ป้าย สายที่ 5 ท่าเรือรัษฎา-ท่าเรือมาริน่า ระยะทาง 26 กม. 71 ป้าย สายที่ 6 รอบเมือง 1 ระยะทาง 5.7 กม.17 ป้าย สายที่ 7 บขส.2-รอบเมือง ระยะทาง 17.6 กม.49 ป้าย สายที่ 8 รอบเมือง 2 (มิวเซียมภูเก็ต-ตลาดนัดชีวา-บขส.2-กิ่งแก้ว) ระยะทาง 35 กม.70 ป้าย สายที่ 9 รอบเมืองป่าตอง ระยะทาง 7 กม.18 ป้าย และสายที่ 10 มิวเซียมภูเก็ต-ป่าตอง ระยะทาง 89 กม. 89 ป้าย
พร้อมทั้งนำเสนอแผนการลงทุนที่ต้องใช้รถ EV แบบต่ำ เพื่อให้บริการคนพิการได้ด้วย โดยการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งในส่วนของภาครัฐ อาจจะเป็นกระทรวงคมนาคม มหาดไทย หรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เช่น อบจ. โดยรัฐลงทุนในส่วนของโครงสร้างพื้นฐาน ป้ายหยุดรถ 775 แห่ง ปรับปรุงพื้นที่เพื่อเป็น INTERCHANGE ในการเปลี่ยนเส้นทาง 5 จุด ซึ่งประกอบด้วย สนามบินภูเก็ต อนุสาวรีย์ฯ มิวเซียมภูเก็ต ห้าแยกฉลอง ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับ BUS DEPOT และระบบ EV SUPERCHARGER จำนวน 4 แห่ง ส่วนเอกชนลงทุนในส่วนของรถ EV BUS ในปี 2569 จัดซื้อจำนวน 220 คัน ปี 2575 จัดซื้อเพิ่มเติมอีก 105 คัน รวมไปถึงลงทุนในระบบเทคโนโลยี รวมเงินลงทุนระหว่างปี 2569-2594 จำนวน 3,843 ล้านบาท โดยรายได้หลักของการจัดการเดินรถ EV มาจากค่าตั๋วและค่าโฆษณาบนตัวรถ เป็นต้น โดยจะเริ่มเดินรถในปี 2570
นอกจากนี้ ผลการศึกษายังระบุว่าการจราจรในภูเก็ตติดขัดทุกช่วงเวลา การขยายความจุของโครงข่ายถนนทำได้ยาก โดยรวมถือว่าการจราจรอยู่ในระดับที่มีปัญหาและต้องการให้ได้รับการแก้ไข โดยเฉพาะการจราจรบริเวณแยกบ้านเคียน เส้นจราจรไม่ชัด ไม่มีช่องจอดจักรยานยนต์ที่ชัดเจน แนวทางแก้ไข ด้วยการปรับปรุงเส้นและเครื่องหมายจราจรบริเวณแยกให้ชัดเจน และปรับปรุงช่องจอดพักจักรยานยนต์ แยกเชิงทะเล มีรถมากในช่วงเวลาเร่งด่วนทำให้เกิดความล่าช้า แนะนำให้ปรับรอบและจังหวะสัญญาณไฟจราจร ส่วนบริเวณเกาะแก้ว ปริมาณรถมากในช่วงเวลาเร่งด่วน เสนอให้ปรับรอบและจังหวะสัญญาณไฟจราจร เป็นต้น
