ศูนย์ข่าวภูเก็ต - สื่อนอกตีแผ่ พบสลัมแรงงานพม่ากลางภูเก็ต? พร้อมเปิดโรงเรียนสอนพม่า ติดแอร์เย็นฉ่ำ หลัง Youtuber ต่างชาตินำเสนอเรื่องนี้ ขณะที่ผู้ดูแลออกมายื่นยัน ว่า เป็นแค่ศูนย์เรียนรู้ เปิดมา 11 ปี ด้านจังหวัด ตร. ตื่นสอบ
จากกรณีสื่อนอก สื่อไทยนำเสนอข้อมูล พบสลัมใหญ่ในพื้นที่กลางเมืองภูเก็ต แถมเปิดโรงเรียนสอนชาวพม่า ติดแอร์เย็นฉ่ำ มีเด็กพม่าเข้าเรียนกว่า 300 คน โดยนำข้อมูลจาก Youtuber ต่างชาติ ช่อง Ride with Gabi ที่มีการเผยแพร่คลิปเปิดเผยการมีอยู่ของชุมชนแรงงานพม่าขนาดใหญ่ ซึ่งถูกระบุว่าเป็น “สลัมต่างชาติที่ใหญ่ที่สุดในภูเก็ต” โดยผู้อยู่อาศัยทั้งหมดเป็นแรงงานชาวพม่า เด็กๆ ในชุมชนได้รับการศึกษาและอาหารจากมูลนิธิ ที่ใช้เงินทุนจากการบริจาคและอาสาสมัครต่างชาติ
นอกจากนั้น ยังมีการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวในพื้นที่ภูเก็ต ของบริษัทด้านการตลาด Media Intelligence Group (MI GROUP) ที่ระบุว่า ในปี 2566 พบว่ามีแรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม อาศัยอยู่ในไทยมากกว่า 10 ล้านคน โดยเฉพาะชาวพม่ามีจำนวนสูงถึง 6.8 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเข้าเมืองผิดกฎหมาย และแนวโน้มยังเพิ่มสูงขึ้นจากสถานการณ์ความไม่สงบในพม่า ส่งผลให้มีผู้อพยพเข้ามาตั้งรกรากในไทยมากขึ้น
มีรายงานจากสื่อไทยและต่างประเทศก่อนหน้านี้ว่า แรงงานบางส่วนสามารถลักลอบเข้ามาได้โดยใช้วิธีจ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่รัฐเพื่ออำนวยความสะดวก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้จำนวนแรงงานต่างด้าวในไทยขยายตัวอย่างรวดเร็ว
แม้ข้อมูลเกี่ยวกับ “สลัมแรงงานพม่าที่ใหญ่ที่สุดในภูเก็ต” ยังต้องรอการตรวจสอบอย่างเป็นทางการ แต่กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงการตั้งถิ่นฐานของแรงงานต่างด้าวในไทย โดยปกติแรงงานกลุ่มนี้มักอาศัยอยู่ตามแคมป์ก่อสร้าง หรือที่พักที่นายจ้างจัดหาให้ แต่บางส่วนกระจายตัวไปตามชุมชนต่างๆ
สำหรับกรณีของภูเก็ตที่เป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก การมีชุมชนแรงงานขนาดใหญ่โดยไม่มีการควบคุมอาจนำไปสู่ปัญหาหลายด้าน เช่น ความเป็นอยู่ต่ำกว่ามาตรฐาน ชุมชนแออัดมักขาดสาธารณูปโภคที่เหมาะสม เสี่ยงต่อโรคระบาดและปัญหาสุขอนามัย ปัญหากฎหมายและอาชญากรรม พื้นที่เช่นนี้อาจกลายเป็นแหล่งซ่อนตัวของกลุ่มผู้กระทำผิดกฎหมาย เช่น คดีหลบหนีเข้าเมือง แรงงานผิดกฎหมาย และยาเสพติด ผลกระทบต่อภาพลักษณ์เมืองท่องเที่ยว ภูเก็ตเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวทั่วโลก หากปัญหานี้ไม่ได้รับการจัดการ อาจกระทบต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในระยะยาว
ประเด็นแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายในไทย โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวที่สำคัญอย่างภูเก็ต เป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม ภาครัฐควรเร่งตรวจสอบข้อมูลที่ถูกเผยแพร่ และดำเนินมาตรการควบคุมดูแลให้เหมาะสม เพื่อป้องกันปัญหาด้านสังคมและอาชญากรรมในอนาคต
สำหรับการนำเสนอข่าวมีการระบุที่มาของข้อมูล : INSIDE THE BIGGEST SLUM IN PHUKET (Ride with Gabi) - Media Intelligence Group (MI GROUP) - Good Shepherd Phuket Town
ขณะที่หลังจากมีรายงานข่าวดังกล่าวออกมา ทางจังหวัดภูเก็ต ตำรวจภูเก็ต รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการตรวจสอบเรื่องนี้ทันที โดยส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบข้อมูล และเตรียมแถลงข่าวช่วงบ่ายวันนี้ ( 17 มี.ค.)
ขณะที่ผู้ดูแลยันเป็นศูนย์เรียนรู้ ไม่ใช่โรงเรียนมาตั้งแต่ต้น เปิดดำเนินการมาแล้วกว่า 11 ปี ปัจจบันไม่มีภาพสลัมปรากฏให้เห็น โดยซิสเตอร์ลักขณา สุขสุจิตร ผู้อำนวยการศูนย์คณะภคินีศรีชุมพาบาล ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับศูนย์เรียนรู้ โดยยืนยันว่า ศูนย์ดังกล่าวไม่ใช่โรงเรียนมาตั้งแต่ต้น แต่เป็นศูนย์การเรียนรู้ที่เปิดดำเนินการมาแล้วกว่า 11 ปี เดิมตั้งอยู่ในชุมชนปลากะตะ ก่อนจะย้ายมาตั้งอยู่หลังโรงพยาบาลองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต เนื่องจากสถานที่เดิมคับแคบและไม่เอื้อต่อการเรียนรู้
ซิสเตอร์ลักขณา ระบุว่า คณะของเธอมีความตั้งใจที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตของเด็กๆ ที่อยู่ในชุมชน โดยเฉพาะเด็กจากครอบครัวแรงงานข้ามชาติ ซึ่งมักขาดโอกาสทางการศึกษา การย้ายศูนย์มายังที่ตั้งใหม่ช่วยให้เด็กๆ มีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้น และลดความเสี่ยงจากปัญหาสังคม เช่น ยาเสพติด หรืออันตรายจากสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย
เดิมศูนย์ได้รับเงินสนับสนุนจากหน่วยงานการกุศลต่างประเทศ แต่เมื่อจำนวนเด็กเพิ่มขึ้นถึง 300 กว่าคน งบประมาณไม่เพียงพอ จึงมีการประชุมผู้ปกครองเพื่อกำหนดค่าใช้จ่าย โดยเริ่มจาก 500 บาท และปรับเพิ่มเป็น 1,000 บาทต่อราย อย่างไรก็ตาม การเก็บเงินไม่ได้เป็นข้อบังคับ หากครอบครัวใดมีความลำบากก็สามารถยกเว้นค่าใช้จ่ายได้
ซิสเตอร์ลักขณา ยืนยันว่า ศูนย์เรียนรู้ไม่มีความกังวลเกี่ยวกับเสียงวิจารณ์ เพราะได้มีมาตรการแก้ไขทุกปัญหาที่เกี่ยวข้องแล้ว รวมถึงการติดตั้งห้องเรียนกระจกเพื่อลดเสียงรบกวนชุมชน และจัดหาสถานที่โดยใช้ที่ดินที่ได้รับการสนับสนุนจากมูลนิธิ รวมถึงการดูแลสุขภาพเด็กโดยไม่ใช้งบประมาณจากภาครัฐ ปัจจุบัน ศูนย์เรียนรู้ยังคงเดินหน้าตามแนวทางเดิม และไม่มีแผนปรับเปลี่ยนแนวทางดำเนินงาน เนื่องจากทุกฝ่ายเข้าใจและให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี เด็กที่เข้าเรียนในศูนย์จะได้รับการสอนทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาพม่า เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการศึกษาต่อในระบบโรงเรียนไทย
ซิสเตอร์ลักขณา ระบุอีกว่า ทางศูนย์เรียนรู้ไม่มีความกังวลเรื่องการถูกไล่ที่ เพราะที่ดินที่ใช้อยู่เป็นกรรมสิทธิ์ของมูลนิธิ และยังมีผู้ใจบุญเสนอจะมอบที่ดินเพิ่มเพื่อขยายพื้นที่ให้กว้างขึ้น ทั้งนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างศูนย์กับชุมชนก็ดีขึ้น ไม่มีปัญหาความขัดแย้งเกิดขึ้นในปัจจุบัน