สุราษฎร์ธานี – ทนายคนดังสุราษฎร์ฯ หอบหลักฐานโต้ลูกสาวของลูกความ หลังถูกระบุรับเงินแล้วเทงาน ทำให้ศาลสั่งจำหน่ายคดี เป็นเหตุให้แม่ล้มป่วยเสียชีวิต ระบุจะดำเนินคดีลูกสาวคนตายและสื่อ เรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท
จากกรณีที่มีข่าวปรากฏทางสื่อมวลชนบางสื่อ ว่า มีทนายความจังหวัดสุราษฎร์ธานีหลอกลวงประชาชนในการทำคดี ซึ่งมีการเรียกเงินแล้วละทิ้งคดีไม่ทำงานให้ จนกระทั่งศาลได้มีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความเป็นเหตุให้มารดาของตนช็อกหมดสติและต่อมาได้ถึงแก่ความตายนั้น ล่าสุด นายสมบูรณ์ ทองพัฒน์ ทนายความผู้ทำคดีนี้ ได้หอบหลักฐานออกมาชี้แจงผ่านสื่อว่า ตนซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวขอชี้แจงว่าข้อกล่าวหาทั้งหมดนั้นไม่เป็นความจริง หากแต่เป็นการให้ข่าวและคำสัมภาษณ์ที่บิดเบือนข้อเท็จจริง ข้าพเจ้าได้ทำหน้าที่ไปตามที่ได้รับการแต่งตั้งทุกขั้นตอนมิได้ละทิ้งงาน
และต้องขออภัยไปยังทนายความจังหวัดสุราษฎร์ธานีทุกท่านที่ทำให้ถูกสังคมตั้งข้อสังเกตในแง่ลบ เพราะตนไม่ได้ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงในทันทีที่เป็นข่าว เนื่องจากขณะที่มีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารออกทางสื่อ ตนติดว่าความอยู่ที่ศาลอาญา กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่วันจันทร์จนถึงวันพุธ และเพิ่งเดินทางกลับมาจังหวัดสุราษฎร์ธานี หลังจากทราบว่ามีการเผยแพร่ออกทางสื่อแล้ว จึงได้เดินทางไปขอคัดเอกสารจากศาลจังหวัดเวียงสระ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เพื่อนำเอกสารข้อเท็จจริงการดำเนินการเดินเรื่องดังกล่าวในฐานะทนายความที่ได้รับมอบอำนาจ มาประกอบการแถลงชี้แจงข้อเท็จจริง
โดยระบุว่าได้มีการดำเนินการตามขั้นตอนทุกอย่าง ตั้งแต่วันที่ลูกความและลูกสาวได้เดินทางมาพบตนในฐานะทนายความ เพื่อแจ้งความประสงค์ให้ยื่นคำร้องขอจัดการมรดกของน้องชาย ของลูกความ ที่ร่วมบิดามารดาเดียวกัน ต่อมาเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2559 ทนายได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดเวียงสระขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งให้ลูกความตนเป็นผู้จัดการมรดกต่อศาลจังหวัดเวียงสระ ตามวัตถุประสงค์ คดีแพ่งหมายเลขคดีดำที่ 164/2559 ศาลรับคำร้องและนัดไต่สวนคำร้องในวันที่ 4 กรกฎาคม 2559
ต่อมาในวันที่ 4 กรกฎาคม 2559 ในวันนัดไต่สวน ได้รับทราบข้อเท็จจริงจากเจ้าหน้าที่ศาลว่าได้มีบุคคลอื่นยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกไปก่อนหน้านี้แล้ว จึงได้แจ้งข้อมูลดังกล่าวให้ลูกความทราบว่าเป็นการร้องซ้อน จำเป็นต้องถอนคำร้องไปจากศาลเพื่อไปดำเนินการยื่นคำร้องถอดถอนผู้จัดการมรดกต่อไป หลังจากนั้นได้มีการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายทุกอย่าง รวมทั้งการสืบหาพยาน
ดังนั้น การที่ลูกสาวของลูกความได้มีการโพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวและให้สัมภาษณ์สื่อ รวมทั้งไปออกรายการให้สัมภาษณ์ทางสถานีโทรทัศน์ โดยอ้างว่า แม่ ซึ่งเป็นลูกความตนไม่เคยไปศาลเลยและไม่ทราบความคืบหน้าและกระบวนการพิจารณาคดี จึงเป็นความเท็จ รวมทั้งสื่อบางคนเอาข้อมูลที่ไม่ตรงตามข้อเท็จจริงไปนำเสนอ จึงทำให้ภาพลักษณ์ขององค์กรทนายความจังหวัดสุราษฎร์ธานี รวมทั้งมีผลกระทบต่อชื่อเสียงภาพลักษณ์ของสำนักงานศรีวิชัยทนายความและการบัญชี ที่ก่อตั้งมานานกว่า 30 ปี มีทนายความในสังกัดกว่า 20 คน โดยตัวตนเป็นผู้บริหาร และกระทบต่อจิตใจของคนในครอบครัวอย่างหนัก
ดังนั้น จำเป็นต้องมีการดำเนินคดีทางทางแพ่งและอาญาต่อกลุ่มบุคคลที่นำเสนอข้อมูลอันเป็นเท็จลงในระบบคอมพ์ โดยในเบื้องต้นจะเรียกค่าเสียหายไม่ต่ำกว้า 50 ล้านบาท ซึ่งเงินส่วนนี้จะแบ่งไปทำบุญต่อไป