xs
xsm
sm
md
lg

ผู้ว่าฯ ตรังควงป่าไม้เปิดศาลากลางตั้งโต๊ะแถลงจัดระเบียบหาดฝรั่งเกาะมุกด์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ตรัง - ผู้ว่าฯ ตรัง ควงป่าไม้เปิดศาลากลางตั้งโต๊ะแถลงปมจัดระเบียบหาดฝรั่งเกาะมุกด์ เผยยึดคืนจากนายทุนทำโรงแรมหรูทับป่าสงวน เปิดช่องเป็นป่านันทนาการให้ชาวบ้านร่วมจัดการยืดหยุ่นกว่าป่าชุมชน วอนเข้าใจรัฐจัดระเบียบทรัพยากรเพื่อความเสมอภาค

วันนี้ (7 มี.ค.) ที่ศาลากลางจังหวัดตรัง นายทรงกลด สว่างวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง พร้อมด้วย นายวรวิทย์ หยูดำ ผู้อำนวยการส่วนจัดการที่ดินป่าไม้ สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 12 (นครศรีธรรมราช) ร่วมแถลงด่วน กรณีสืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 27 ก.พ.68 กรมป่าไม้ได้ส่งเจ้าหน้าที่พร้อมสนธิกำลังกันหลายหน่วยงานลงพื้นที่จัดระเบียบร้านค้าบริเวณหาดฝรั่ง ซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าเกาะมุกด์ หมู่ที่ 2 ต.เกาะลิบง อ.กันตัง จ.ตรัง เนื้อที่ 46 ไร่ ซึ่งเดิมเคยเป็นรีสอร์ตหรูของนายทุนที่ออกเอกสารสิทธิ น.ส.3 โดยมิชอบ และกรมป่าไม้ยึดคืนมาได้ตามคำพิพากษาศาลที่ให้รื้อถอนสิ่งก่อสร้างออกไปทั้งหมด ต่อมาปี 2564 กรมป่าไม้ประกาศให้เป็นป่านันทนาการ พร้อมกับป่านันทนาการอื่นๆ รวม 10 แห่งทั่วประเทศ และเป็นป่านันทนาการทางทะเลเพียงแห่งเดียว และมีความสวยงามมาก รองจากเกาะกระดานชายหาดที่ดีที่สุดในโลก


แต่ต่อมาชาวบ้านในพื้นที่กว่า 10 ราย ได้เข้าจับจองตั้งร้านค้าขายอาหารและเครื่องดื่มบริการนักท่องเที่ยวมาประมาณกว่า 3 ปีแล้ว โดยมีการตั้งร้านค้าและสิ่งอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว ทั้งโต๊ะ เต็นท์ผ้าใบ เก้าอี้ เก้าอี้เอนนอนเต็มชายหาด ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องลงจัดระเบียบเพื่อความสวยงาม และกั้นพื้นที่ชายหาดเป็นส่วนพื้นที่นันทนาการ หลังทำความเข้าใจกันเป็นเวลานาน สุดท้ายกลุ่มผู้ค้าจึงยอมถอยร่นร้านค้าไปอยู่ในจุดที่เจ้าหน้าที่กำหนด และให้ค้าขายตามปกติ และยอมรื้อเก้าอี้ที่รุกล้ำชายหาดออกบางส่วนตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่

และหลังจากก่อสร้างป้อมยาม อาคารที่ทำการศูนย์บริการนักท่องเที่ยว และห้องสุขา เพื่อบริการนักท่องเที่ยวแล้วเสร็จ จะเข้าสู่กระบวนบริหารจัดการการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ร่วมกันในรูปแบบคณะกรรมการร่วมบริหารจัดการพื้นที่ป่านันทนาการ ซึ่งจะมีตัวแทนชาวบ้านร่วมด้วย ในการกำหนดหลักเกณฑ์การจัดเก็บค่าบริการ ทั้งนักท่องเที่ยว เรือ รถ ร้านค้า ที่เข้าไปใช้ประโยชน์พื้นที่ แต่อย่างไรก็ตามยังมีเจ้าของร้านค้าบางรายยังไม่เห็นด้วยที่จะให้มีการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว โดยอ้างว่าจะต้องให้ผ่านประชามติความเห็นชอบของชาวบ้านก่อน


นายวรวิทย์ หยูดำ ผู้อำนวยการส่วนจัดการที่ดินป่าไม้ สำนักจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 12 (นครศรีธรรมราช) กล่าวว่า การจัดตั้งร้านค้าของชาวบ้านอยู่ในเขตการท่องเที่ยวและนันทนาการของพื้นที่ป่านันทนาการเกาะมุกด์ ซึ่งบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ถูกกำหนดไว้เพื่อใช้ประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวและนันทนาการในรูปแบบที่ไม่กระทบต่อธรรมชาติเท่านั้น ไม่อนุญาตให้บุคคลใดเข้ามาตั้งร้านจำหน่ายสินค้าได้ แต่ได้มีการพูดคุยกันว่าจะผ่อนปรนให้ตั้งร้านค้าต่อไปได้ แต่ต้องอยู่ในเขตการจัดการพื้นที่ป่านันทนาการที่เป็นเขตบริการเท่านั้น แต่กลุ่มผู้ค้าไม่ยอมย้ายไปอยู่ในเขตที่กำหนด เจ้าหน้าที่จึงลงพื้นที่เพื่อดำเนินการรื้อถอนดังกล่าว

โดยการลงพื้นที่ตรวจสอบ เจ้าหน้าที่ได้แจ้งให้ผู้ประกอบการร้านค้าเคลื่อนย้ายไปจำหน่ายในเขตพื้นที่บริการ ใช้เวลาในการเจรจาประมาณ 3 ชั่วโมง แต่กลุ่มผู้ค้ายังไม่ยินยอมย้ายไปยังจุดที่กำหนด เจ้าหน้าที่จึงได้ดำเนินการรื้อถอนร้านค้า ซึ่งรื้อถอนไปได้ประมาณ 4 ร้าน ทางตัวแทนกลุ่มผู้ค้าจึงขอเจรจาโดยยินยอมย้ายร้านค้า โต๊ะ และเก้าอี้ สำหรับนั่งรับประทานอาหาร ถอยร่นเข้าไปในเขตบริการ มีระยะห่างจากจุดที่ตั้งเดิมประมาณ 10 เมตร และยอมลดจำนวนเก้าอี้ชายหาดจากเดิม 4 แถว คงเหลือแค่ 2 แถว เพื่อคืนพื้นที่ชายหาดให้นักท่องเที่ยว


นายวรวิทย์ กล่าวว่า ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ได้จัดทำบันทึกการตรวจสอบพื้นที่ โดยระบุว่าจะผ่อนปรนให้กลุ่มชาวบ้านจำนวน 10 ราย จัดบริการร้านค้าไปอีกประมาณ 2 เดือนจนจบฤดูกาลท่องเที่ยวในปีนี้ได้ แต่ต้องนำเรื่องราวผ่านความคิดเห็นของ อบต.เกาะลิบง และจัดทำโครงการเสนออธิบดีกรมป่าไม้เพื่อพิจารณา รวมทั้งต้องให้ความร่วมมือ ไม่กระทำการใดที่เป็นการขัดขวางการดำเนินการก่อสร้างอาคารที่ทำการสำนักงาน อาคารศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ห้องสุขา และป้อมยาม ที่จะใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยและเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวในอนาคต แต่กลุ่มผู้ค้าไม่ยินยอมลงลายมือชื่อในบันทึกการตรวจสอบแต่อย่างใด และมีชาวบ้านบางรายยืนยันไม่ยอมให้มีการก่อสร้างในพื้นที่ เจ้าหน้าที่จึงได้เดินทางไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจภูธรกันตังไว้เป็นหลักฐาน

“ฝ่ายเจ้าหน้าที่เข้าใจดีว่าชาวบ้านกังวล แต่ยืนยันว่าป่านันทนาการนั้นเกิดจากเจตนารมณ์ของกรมป่าไม้ ที่ต้องการให้ชาวบ้านในพื้นที่ได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการการใช้ประโยชน์ร่วมกันในมิติการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ที่มีความยืดหยุ่นมากกว่าป่าสงวนที่เข้าไปทำอะไรไม่ได้เลย หรือป่าชุมชนที่เข้มข้นกว่า หลังจากนี้จะเร่งเข้าทำความเข้าใจกับชาวบ้าน ยอมรับว่าแม้เจ้าหน้าที่จะเข้าไปชี้แจง ติดป้าย แต่ยังเกิดความกังวลของชาวบ้าน อีกทั้งพบว่ามีคนนอกพื้นที่เข้ามาปลุกปั่น ส่งผลต่อสถานการณ์ มีการนำเรื่องยกระดับไปเป็นความขัดแย้งไปสู่ระดับบน แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้หวาดหวั่น เพราะเรายึดกฎหมายและประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง และเราทุกคนไม่ได้ผลประโยชน์ใดๆ จากการทำหน้าที่รักษากฎหมาย จึงขอทำความเข้าใจไว้ในส่วนนี้ด้วย” นายวรวิทย์ กล่าว


ด้าน นายทรงกลด สว่างวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นความกังวลของชาวบ้านกลุ่มเล็กๆ จำหนวนหนึ่ง ที่กังวลว่าหากราชการเข้ามาบริหารจัดการป่านันทนาการแล้ว ชาวบ้านจะได้ขายของอีกหรือไม่ จึงมีการต่อต้านและเสนออยากให้เปลี่ยนเป็นป่าชุมชนแทน แต่ตามระเบียบกฎหมาย ป่านันทนาการ ชาวบ้านสามารถร่วมกันบริหารจัดการการใช้ประโยชน์ในเชิงการท่องเที่ยวและค้าขายได้มากกว่าป่าชุมชน ที่มีกฎหมายกฎระเบียบค่อนข้างเข้มข้นกว่า จึงเชื่อว่าหากเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปทำความเข้าใจ และนำตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมไปบอกกล่าวอธิบายกับชาวบ้าน จะสามารถหาทางออกร่วมกันได้ เพราะเจตนารมณ์ของป่านันทนาการ คือการมีส่วนร่วมในการใช้ประโยชน์ร่วมกันโดยประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในรูปแบบของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เพราะหากไม่มีการจัดระเบียบ หากคงไว้เป็นป่าสงวนแบบเดิม ชาวบ้านจะเข้าไปทำอะไรไม่ได้เลย และหากปล่อยปละให้ค้าขายกันอย่างเสรี ไม่จัดระเบียบ ต่อไปใครก็มาขายกันเรื่อยๆ เต็มชายหาด

นอกจากนี้ การเข้าไปบริหารจัดการโดยภาครัฐ นอกจากจะเป็นการปกป้องทรัพยากรแล้ว เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกด้านสาธารณูปโภคให้ประชาชน ตัวอย่างเช่น เกิดอุบัติเหตุจะมีหน่วยพยาบาล หน่วยฉุกเฉินส่งต่อผู้ป่วยทางทะเล การจัดการขยะ หรือแม้กระทั่งต่อไปเกิดความขัดแย้ง นักท่องเที่ยวทะเลาะกัน ถ้าไม่มีเจ้าหน้าที่แล้วใครจะจัดการแก้ไข ดังนั้นขอร้องพี่น้องประชาชนโปรดทำความเข้าใจ หันหน้าเข้าหากัน

“ยืนยันว่าในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อความเสมอภาคในการจัดสรรทรัพยากรภาครัฐเพื่อไม่ให้เกิดความเหลื่อมล้ำ และป่านันทนาการเกาะมุกด์ที่กำลังจะเกิดขึ้น พี่น้องจะได้ใช้ประโยชน์ในมิติด้านท่องเที่ยวมากกว่ากฎหมายป่าชุมชนที่ค่อนข้างจำกัดการใช้ประโยชน์ เชื่อว่าเป็นความกังวลในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น แต่เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่ต้องไปทำความเข้าใจ เอารูปธรรมที่จับต้องได้ไปอธิบายกับชาวบ้าน” ผู้ว่าฯตรังระบุ




กำลังโหลดความคิดเห็น