ชุมพร - เบี้ยวนัดครั้งที่ 3 สาวบีเอ็มชน 3 แม่ลูกดับ หลังเกิดเหตุหายไป 8 ชั่วโมง ก่อนมอบตัว ผลตรวจเลือดหมอไม่รับรองผล แต่ผู้กำกับยันยังมีผลจากการเป่า คำนวณย้อนหลังได้ ด้านพ่อเหยื่อไม่ยันเจรจาอีก ฟ้องตามกฎหมาย

จากกรณี น ส.จิรันธนิน แตงขาว อายุ 30 ปี ขับรถเก๋งสีดำ ยี่ห้อ BMW ป้ายประมูล หมายเลขทะเบียน กจ 44 นครศรีธรรมราช มาด้วยความเร็สูง 207 กม./ชม. พุ่งชนท้ายจักรยานยนต์ของ 3 แม่ลูกอย่างจัง ทำให้ นางเย็นจิตร รัตนภา อายุ 52 ปี นายกฤตเมธ รัตนภา อาบุ 16 ปี นักเรียชั้น ม.4 และ ด.ญ.บุณยานุช รัตนาภา อายุ 12 ปี นักเรียนชั้น ม.2 ได้เสียชีวิต ขณะแม่ขับไปรับกลับจากเรียนพิเศษ ส่วนสาวที่เป็นคนขับรถ BMW ได้ขอให้ชาวบ้านละแวกเกิดเหตุช่วยหาแมวจนเจอ ก่อนจะทิ้งรถเก๋งคันหรู อุ้มพาแมวหลบหนีหายไปกับความมืด เหตุเกิดเชิงสะพานถนนสาย จ. หมู่ 9 ต.ตากแดด อ.เมือง จ.ชุมพร เมื่อค่ำวันที่ 27 พ.ย.67 ที่ผ่านมา โดยขณะนี้ทางญาติของผู้เสียชีวิตได้เก็บศพทั้ง 3 แม่ลูกไว้ที่มูลนิธิชุมพรการกุศลสงเคราะห์ จนกว่าคดีจะได้รับความเป็นธรรม
ล่าสุด เมื่อเวลา 11.30 น.วันที่ 25 ธันวาคม 2567 นายประกฤษณ์ รัตนภา อายุ 50 ปี ผู้สูญเสียลูกและเมีย 3 ศพ พร้อมกับญาติ ได้เดินทางมาที่จัดเก็บศพลูกและเมียทั้ง 3 ศพ ณ มูลนิธิชุมพรการกุศลสงเคราะห์ โดยซื้อข้าวมันไก่ร้านที่เมียลูกชอบกินมาให้ พร้อมจุดธูปบอกกล่าวถึงการในครั้งนี้ ว่า ได้มาเจรจาไกล่เกลี่ยกับคู่กรณีเป็นครั้งที่ 3 หลังจากที่ นายณัฐพงศ์ บุญทองคง อัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี จ.ชุมพร ได้ทำหนังสือถึง น.ส.จิรธนิน แตงกวา เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 67 ให้มาประนีประนอมข้อพิพาท เรียกค่าสินไหมทดแทนความเสียหายจากการกระทำความผิดทางอาญา โดยระบุวันนัดหมาย เวลา 13.30 น.ของวันที่ 25 ธันวาคม 67 ณ สำนักงานอัยการจังหวัดชุมพร
โดยนายประกฤษณ์ ได้ยกมือไหว้พร้อมอธิษฐานให้ภรรยาและลูกทั้งสองช่วยดลจิตดลใจให้การเกลี่ยไกล่ในครั้งนี้ตกลงกันได้ด้วยดี เพื่อจะนำเมียและลูกไปทำการฌาปนกิจตามประเพณี เพื่อจะได้ไปผุดไปเกิดเสียที
ต่อมา เมื่อเวลา 13.30 น.นายประกฤษณ์ รัตนภา พร้อมญาติได้เดินทางมาที่สำนักงานอัยการจังหวัดชุมพร เพื่อเข้าพบทางนายณัฐพงศ์ บุญทองคง อัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี จ.ชุมพร ตามนัดหมาย เพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยเยียวยาค่าสินไหมกับคู่กรณีคือ น.ส.จิรันธนิน แตงกวา ผู้ต้องหาขับรถยนต์เก๋งบีเอ็มชน 3 แม่ลูกเสียชีวิต เพื่อจะได้พูดคุยไกล่เกลี่ยกันอีกครั้ง แต่ผลปรากฏว่า น.ส.จินันธนิน หรือตัวแทนไม่ได้เดินทางมาตามนัดหมายแต่อย่างใด

โดยนายประกฤษต์ รัตนภา ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า วันนี้ ทางอัยการได้ทำหนังสือเชิญตัว น.ส.จิรันธนิน คู่กรณีที่จับรถบีเอ็มชนเมียลูกเสียชีวิตมาไกล่เกลี่ยในการเยียวยา ซึ่งที่ผ่านมา 2 ครั้ง ทางคู่กรณียังไม่มีความจริงใจที่จะมาไกล่เกลี่ยเลย และในใจตนยังเชื่อว่าในวันนี้คู่กรณียังไม่มาเช่นเดิม และไม่เดินทางมาจริงๆ เหมือที่ตนคาดการณ์ไว้ ซึ่งหลังจากนี้หากยังไม่มาอีกก็ปล่อยเป็นหน้าที่ของทนายแก้ว ที่จะดำเนินฟ้องร้องต่อไป
ขณะที่ นายณัฐพงศ์ บุญทองคง อัยการ คุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี จ.ชุมพร ได้เปิดเผย หลังจากที่ใช้เวลาพูดคุยกับนายประกฤษณ์ และญาติ กว่า 1 ชั่วโมงว่า สำหรับการไกล่เกลี่ยในครั้งนี้คู่กรณีไม่มา เนื่องจากทาง น.ส.จิรันธนิน ได้แจ้งมาว่าไม่สามารถเดินทางมาได้ สืบเนื่องมาจากอยู่ระหว่างการรวบรวมทรัพย์สินเพื่อนำมาเยียวยาให้ผู้เสียหาย ซึ่งถือว่าเป็นสิทธิของทางคู่กรณีที่จะมาหรือไม่ก็ได้ และทั้งนี้ ทางนายประกฤษณ์ เองหลังจากที่ได้พูดคุยกันแล้ว สรุปได้ว่าจะไม่ประสงค์ที่จะเชิญตัวคู่กรณีมาเจรจาไกล่เกลี่ยอีกต่อไปแล้ว ซึ่งจะมอบหมายให้ทางทนายความดำเนินการฟ้องร้องทางแพ่งกับ น.ส.จิรันธนิน ในชั้นศาลต่อไป
ต่อมา ทางนายประกฤษณ์ พร้อมญาติได้เดินทางมาพบ พ.ต.อ.ปัญญา ท้วมศรี ผกก.สภ.เมืองชุมพร เพื่อสอบถามความคืบหน้าของคดี เนื่องจากตนเองและครอบครัว ตลอดจนประชาชนทั่วไปที่สนใจในคดีนี้ รู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก เกรงว่าจะไม่ได้รับความยุติธรรม อีกทั้งหวั่นว่าทางคู่กรณีจะใช้เส้นสายล้มคดีจากหนักให้เป็นเบา
พ.ต.อ.ปัญญา ได้กล่าวกับนายประกฤษณ์ และญาติต่อหน้านักข่าวที่เดินทางมาตามทำข่าวในคดีนี้ ซึ่งเป็นคดีที่ได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างมาก ว่าขณะนี้ทางพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานและสอบปากคำพยานบุคคลจนครบรอบด้านแล้ว และ ได้สรุปสำนวนเตรียมฟ้องศาลได้แล้ว เพียงแต่วันนี้ ทราบว่ามีการนัดมาไกล่เกลี่ยค่าสินไหม ซึ่งเป็นคดีแพ่ง จึงรอว่าข้อตกลงเป็นอย่างไรเพื่อนำมาประกอบคู่กับสำนวนคดีอาญา ในการส่งฟ้องศาลในครั้งเดียวกัน แต่เมื่อไม่สามารถตกลงกันได้ ทางพนักงานสอบสวนจะปิดสำนวนพร้อมส่งศาล คาดว่าหลังปีใหม่ ประมาณวันที่ 7 มกราคม 2568 แต่ทั้งนี้ จะดูวันที่เหมาะสมอีกครั้ง และขอยืนยันว่าให้ความยุติธรรมทั้งสองฝ่าย ตำรวจจะทำอย่างตรงไปตรงมา ไม่กดดันแต่อย่างใด ประกอบกับทาง ผบ.ตร.ได้ติดตามและกำชับเร่งรัดคดีให้ครอบคลุมรอบด้านที่สุดเพื่อจะได้คลี่คลายคดีสร้างความกระจ่างให้ประชาชนได้รับทราบต่อไป

พ.ต.อ.ปัญญา ยังกล่าวว่า สำหรับข้อหานั้นทางพนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีในข้อหา ขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ ขับรถขณะมึนเมา ขับรถไม่มีใบอนุญาตขับขี่ ขับรถด้วยความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และหลบหนีไม่ให้ความช่วยเหลือ โดยทาง น.ส.จิรันธนินให้การรับสารภาพทั้งหมด แต่ให้การปฏิเสธในข้อหาหลบหนี ซึ่งก็เป็นสิทธิของผู้ต้องหา ทั้งนี้อยู่ที่ศาลว่าจะพิพากษาออกมาอย่างไร แต่ขั้นตอนที่จะถึงชั้นศาล ทุกถ้อยคำในสำนวนทางอัยการจังหวัดจะตรวจสอบกลั่นกรองอีกครั้งเพื่อให้รัดกุมที่สุด
ผู้สื่อข่าวถามว่า ผลเลือดของผู้ต้องหาที่ส่งไปตรวจออกมาหรือยัง พ.ต.อ.ปัญญา กล่าวว่า เรื่องผลเลือดเอาตรงๆ เลยนะ เนื่องจากว่าตัวของผู้ต้องหาหรือคู่กรณีได้เข้ามามอบตัวกับพนักงานสอบสวน หลังเกิดเหตุนานประมาณ 8 ชั่วโมง ทางตำรวจได้เป่าปริมาณแอลกอฮอล์ทางลมหายใจแล้วค่าวัดได้อยู่ที่ 29 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ แต่เวลาส่งเลือดไปตรวจปรากฏว่าค่าปริมาณในเลือดมันน้อยต่ำกว่า 20 เปอร์เซ็นต์มิลลิกรัม เมื่อต่ำกว่า 20 แล้ว ทางแพทย์จะไม่รับรองผล นี่คือหลักการของทางการแพทย์ที่ตอบมาอย่างนี้
พ.ต.อ.ปัญญา กล่าวต่อว่า แต่ไม่ได้ทำให้เสียหายคดี ต้องเข้าใจความหมายนะ เพราะว่าเราได้ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ด้วยวิธีเป่าทางลมหายใจไปแล้ว มันจะมีสูตรในการคำนวณตามประกาศของแพทยสภาว่า สามารถคำนวณย้อนหลังได้ว่าหลังจากที่เป่าแล้วห่างกันจากช่วงเกิดกี่ชั่วโมง จึงไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้
จากกรณี น ส.จิรันธนิน แตงขาว อายุ 30 ปี ขับรถเก๋งสีดำ ยี่ห้อ BMW ป้ายประมูล หมายเลขทะเบียน กจ 44 นครศรีธรรมราช มาด้วยความเร็สูง 207 กม./ชม. พุ่งชนท้ายจักรยานยนต์ของ 3 แม่ลูกอย่างจัง ทำให้ นางเย็นจิตร รัตนภา อายุ 52 ปี นายกฤตเมธ รัตนภา อาบุ 16 ปี นักเรียชั้น ม.4 และ ด.ญ.บุณยานุช รัตนาภา อายุ 12 ปี นักเรียนชั้น ม.2 ได้เสียชีวิต ขณะแม่ขับไปรับกลับจากเรียนพิเศษ ส่วนสาวที่เป็นคนขับรถ BMW ได้ขอให้ชาวบ้านละแวกเกิดเหตุช่วยหาแมวจนเจอ ก่อนจะทิ้งรถเก๋งคันหรู อุ้มพาแมวหลบหนีหายไปกับความมืด เหตุเกิดเชิงสะพานถนนสาย จ. หมู่ 9 ต.ตากแดด อ.เมือง จ.ชุมพร เมื่อค่ำวันที่ 27 พ.ย.67 ที่ผ่านมา โดยขณะนี้ทางญาติของผู้เสียชีวิตได้เก็บศพทั้ง 3 แม่ลูกไว้ที่มูลนิธิชุมพรการกุศลสงเคราะห์ จนกว่าคดีจะได้รับความเป็นธรรม
ล่าสุด เมื่อเวลา 11.30 น.วันที่ 25 ธันวาคม 2567 นายประกฤษณ์ รัตนภา อายุ 50 ปี ผู้สูญเสียลูกและเมีย 3 ศพ พร้อมกับญาติ ได้เดินทางมาที่จัดเก็บศพลูกและเมียทั้ง 3 ศพ ณ มูลนิธิชุมพรการกุศลสงเคราะห์ โดยซื้อข้าวมันไก่ร้านที่เมียลูกชอบกินมาให้ พร้อมจุดธูปบอกกล่าวถึงการในครั้งนี้ ว่า ได้มาเจรจาไกล่เกลี่ยกับคู่กรณีเป็นครั้งที่ 3 หลังจากที่ นายณัฐพงศ์ บุญทองคง อัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี จ.ชุมพร ได้ทำหนังสือถึง น.ส.จิรธนิน แตงกวา เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 67 ให้มาประนีประนอมข้อพิพาท เรียกค่าสินไหมทดแทนความเสียหายจากการกระทำความผิดทางอาญา โดยระบุวันนัดหมาย เวลา 13.30 น.ของวันที่ 25 ธันวาคม 67 ณ สำนักงานอัยการจังหวัดชุมพร
โดยนายประกฤษณ์ ได้ยกมือไหว้พร้อมอธิษฐานให้ภรรยาและลูกทั้งสองช่วยดลจิตดลใจให้การเกลี่ยไกล่ในครั้งนี้ตกลงกันได้ด้วยดี เพื่อจะนำเมียและลูกไปทำการฌาปนกิจตามประเพณี เพื่อจะได้ไปผุดไปเกิดเสียที
ต่อมา เมื่อเวลา 13.30 น.นายประกฤษณ์ รัตนภา พร้อมญาติได้เดินทางมาที่สำนักงานอัยการจังหวัดชุมพร เพื่อเข้าพบทางนายณัฐพงศ์ บุญทองคง อัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี จ.ชุมพร ตามนัดหมาย เพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยเยียวยาค่าสินไหมกับคู่กรณีคือ น.ส.จิรันธนิน แตงกวา ผู้ต้องหาขับรถยนต์เก๋งบีเอ็มชน 3 แม่ลูกเสียชีวิต เพื่อจะได้พูดคุยไกล่เกลี่ยกันอีกครั้ง แต่ผลปรากฏว่า น.ส.จินันธนิน หรือตัวแทนไม่ได้เดินทางมาตามนัดหมายแต่อย่างใด
โดยนายประกฤษต์ รัตนภา ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า วันนี้ ทางอัยการได้ทำหนังสือเชิญตัว น.ส.จิรันธนิน คู่กรณีที่จับรถบีเอ็มชนเมียลูกเสียชีวิตมาไกล่เกลี่ยในการเยียวยา ซึ่งที่ผ่านมา 2 ครั้ง ทางคู่กรณียังไม่มีความจริงใจที่จะมาไกล่เกลี่ยเลย และในใจตนยังเชื่อว่าในวันนี้คู่กรณียังไม่มาเช่นเดิม และไม่เดินทางมาจริงๆ เหมือที่ตนคาดการณ์ไว้ ซึ่งหลังจากนี้หากยังไม่มาอีกก็ปล่อยเป็นหน้าที่ของทนายแก้ว ที่จะดำเนินฟ้องร้องต่อไป
ขณะที่ นายณัฐพงศ์ บุญทองคง อัยการ คุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี จ.ชุมพร ได้เปิดเผย หลังจากที่ใช้เวลาพูดคุยกับนายประกฤษณ์ และญาติ กว่า 1 ชั่วโมงว่า สำหรับการไกล่เกลี่ยในครั้งนี้คู่กรณีไม่มา เนื่องจากทาง น.ส.จิรันธนิน ได้แจ้งมาว่าไม่สามารถเดินทางมาได้ สืบเนื่องมาจากอยู่ระหว่างการรวบรวมทรัพย์สินเพื่อนำมาเยียวยาให้ผู้เสียหาย ซึ่งถือว่าเป็นสิทธิของทางคู่กรณีที่จะมาหรือไม่ก็ได้ และทั้งนี้ ทางนายประกฤษณ์ เองหลังจากที่ได้พูดคุยกันแล้ว สรุปได้ว่าจะไม่ประสงค์ที่จะเชิญตัวคู่กรณีมาเจรจาไกล่เกลี่ยอีกต่อไปแล้ว ซึ่งจะมอบหมายให้ทางทนายความดำเนินการฟ้องร้องทางแพ่งกับ น.ส.จิรันธนิน ในชั้นศาลต่อไป
ต่อมา ทางนายประกฤษณ์ พร้อมญาติได้เดินทางมาพบ พ.ต.อ.ปัญญา ท้วมศรี ผกก.สภ.เมืองชุมพร เพื่อสอบถามความคืบหน้าของคดี เนื่องจากตนเองและครอบครัว ตลอดจนประชาชนทั่วไปที่สนใจในคดีนี้ รู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก เกรงว่าจะไม่ได้รับความยุติธรรม อีกทั้งหวั่นว่าทางคู่กรณีจะใช้เส้นสายล้มคดีจากหนักให้เป็นเบา
พ.ต.อ.ปัญญา ได้กล่าวกับนายประกฤษณ์ และญาติต่อหน้านักข่าวที่เดินทางมาตามทำข่าวในคดีนี้ ซึ่งเป็นคดีที่ได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างมาก ว่าขณะนี้ทางพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานและสอบปากคำพยานบุคคลจนครบรอบด้านแล้ว และ ได้สรุปสำนวนเตรียมฟ้องศาลได้แล้ว เพียงแต่วันนี้ ทราบว่ามีการนัดมาไกล่เกลี่ยค่าสินไหม ซึ่งเป็นคดีแพ่ง จึงรอว่าข้อตกลงเป็นอย่างไรเพื่อนำมาประกอบคู่กับสำนวนคดีอาญา ในการส่งฟ้องศาลในครั้งเดียวกัน แต่เมื่อไม่สามารถตกลงกันได้ ทางพนักงานสอบสวนจะปิดสำนวนพร้อมส่งศาล คาดว่าหลังปีใหม่ ประมาณวันที่ 7 มกราคม 2568 แต่ทั้งนี้ จะดูวันที่เหมาะสมอีกครั้ง และขอยืนยันว่าให้ความยุติธรรมทั้งสองฝ่าย ตำรวจจะทำอย่างตรงไปตรงมา ไม่กดดันแต่อย่างใด ประกอบกับทาง ผบ.ตร.ได้ติดตามและกำชับเร่งรัดคดีให้ครอบคลุมรอบด้านที่สุดเพื่อจะได้คลี่คลายคดีสร้างความกระจ่างให้ประชาชนได้รับทราบต่อไป
พ.ต.อ.ปัญญา ยังกล่าวว่า สำหรับข้อหานั้นทางพนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีในข้อหา ขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ ขับรถขณะมึนเมา ขับรถไม่มีใบอนุญาตขับขี่ ขับรถด้วยความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และหลบหนีไม่ให้ความช่วยเหลือ โดยทาง น.ส.จิรันธนินให้การรับสารภาพทั้งหมด แต่ให้การปฏิเสธในข้อหาหลบหนี ซึ่งก็เป็นสิทธิของผู้ต้องหา ทั้งนี้อยู่ที่ศาลว่าจะพิพากษาออกมาอย่างไร แต่ขั้นตอนที่จะถึงชั้นศาล ทุกถ้อยคำในสำนวนทางอัยการจังหวัดจะตรวจสอบกลั่นกรองอีกครั้งเพื่อให้รัดกุมที่สุด
ผู้สื่อข่าวถามว่า ผลเลือดของผู้ต้องหาที่ส่งไปตรวจออกมาหรือยัง พ.ต.อ.ปัญญา กล่าวว่า เรื่องผลเลือดเอาตรงๆ เลยนะ เนื่องจากว่าตัวของผู้ต้องหาหรือคู่กรณีได้เข้ามามอบตัวกับพนักงานสอบสวน หลังเกิดเหตุนานประมาณ 8 ชั่วโมง ทางตำรวจได้เป่าปริมาณแอลกอฮอล์ทางลมหายใจแล้วค่าวัดได้อยู่ที่ 29 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ แต่เวลาส่งเลือดไปตรวจปรากฏว่าค่าปริมาณในเลือดมันน้อยต่ำกว่า 20 เปอร์เซ็นต์มิลลิกรัม เมื่อต่ำกว่า 20 แล้ว ทางแพทย์จะไม่รับรองผล นี่คือหลักการของทางการแพทย์ที่ตอบมาอย่างนี้
พ.ต.อ.ปัญญา กล่าวต่อว่า แต่ไม่ได้ทำให้เสียหายคดี ต้องเข้าใจความหมายนะ เพราะว่าเราได้ตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ด้วยวิธีเป่าทางลมหายใจไปแล้ว มันจะมีสูตรในการคำนวณตามประกาศของแพทยสภาว่า สามารถคำนวณย้อนหลังได้ว่าหลังจากที่เป่าแล้วห่างกันจากช่วงเกิดกี่ชั่วโมง จึงไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้