แหล่งปลูก “ส้มโอทับทิมสยาม” อ.ปากพนัง อาการหนักจมน้ำมาเกือบสัปดาห์หวั่นทิ้งผล-ยืนต้นตาย

นครศรีธรรมราช - น้ำยังท่วมในหลายพื้นที่ แหล่งผลิต “ส้มโอทับทิมสยาม” จ่อวิกฤตจมน้ำมาแล้วเกือบสัปดาห์ หวั่นส้มโอทิ้งผล-ยืนต้นตาย ทั้งยังส่งผลต่อการฟื้นที่ต้องใช้เวลานานขึ้น ด้านพื้นที่เทศบาลนครนครศรีธรรมราชน้ำลดแล้ว เร่งเก็บขยะใน 7 วัน

วันนี้ (19 ธ.ค.) ที่บ้านแสงวิมาน ต.คลองน้อย อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช แหล่งผลิตส้มโอทับทิมสยาม ส้มโอชื่อดังมาตรฐานจีไอ เป็นผลไม้ประจำถิ่นที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ น้ำท่วมสูงเป็นวงกว้าง เฉพาะแหล่งผลิตส้มโอทับทิมสยามในย่านนี้มากกว่า 5 พันไร่อยู่ในสภาพจมน้ำมาแล้ว 5-6 วัน ทำให้เกษตรกรกังวลถึงการอยู่รอดของสวน ซึ่งหากน้ำท่วมนานเป็นสัปดาห์จะส่งผลให้ส้มโอทิ้งผลและยืนต้นตาย ขณะที่มะพร้าวน้ำหอม มะพร้าวแกง และปาล์มน้ำมันอยู่ในสภาพทนต่อการท่วมขังของน้ำได้นานกว่า


นายเอกรัตน์ รอดพิสดาร ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 11 ต.คลองน้อย เปิดเผยว่า กังวลพื้นที่เกษตรกรรมเช่นเดียวกับชาวบ้าน เนื่องจากการท่วมขังเป็นเวลานานจะไม่ส่งผลดีกับส้มโอ ทุกส่วนพยายามเร่งแก้ไขเพื่อให้สถานการณ์คลี่คลาย หากนำน้ำออกไปจากพื้นที่เพื่อฟื้นฟูพื้นที่ที่ความเสียหายไม่ได้ อาจทำให้เกษตรกรต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูกันใหม่

ส่วนในชุมชนชั้นในที่น้ำท่วมสูง ทั้งใน ต.คลองน้อย และ ต.เกาะทวด อ.ปากพนัง อาสาสมัครจากหลายหน่วย หลายจังหวัด ลงพื้นที่พยายามให้ครอบคลุมที่สุด โดยพยายามนำข้าวสารอาหารแห้ง น้ำ และเครื่องอุปโภคจำเป็นส่งให้ถึงทุกพื้นที่ โดยเฉพาะเขตน้ำท่วมสูงที่มีคนชราและเด็กที่ออกมาจากบ้านไม่ได้ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง


ขณะที่เขตเทศบาลนครนครศรีธรรมราช ระดับน้ำเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว ทิ้งไว้แต่ความเสียหายในบ้านเรือน โดยเฉพาะเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม เฟอร์นิเจอร์ที่ผลิตจากไม้อัด ที่นอน โซฟาใยสังเคราะห์ต่างๆ กลายเป็นขยะชิ้นใหญ่ ถูกนำมากองไว้เป็นจุดทุกเส้นทางในเขตเทศบาลนครนครศรีธรรมราช

นายกรพ เกตุชาติ นายกเทศมนตรีนครนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า การเก็บขยะเหล่านี้ เจ้าหน้าที่ได้เร่งมืออย่างต่อเนื่อง โดยตกลงกับทุกส่วนงานที่เกี่ยวข้องไว้ว่า ทุกพื้นที่ในเขตเทศบาลจะต้องแล้วเสร็จภายใน 7 วัน

ด้านพื้นที่ ต.กรุงชิง อ.นบพิตำ จ.นครศรีธรรมราช พื้นที่เผชิญกับภัยพิบัติอย่างรุนแรงในรอบหลายสิบปี หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งกู้เส้นทางให้เชื่อมต่อกันได้แล้ว แม้จะยังอยู่ในสภาพทุลักทุเล แต่เป็นเส้นทางจำเป็นในการส่งความช่วยเหลือของหน่วยงานต่างๆ เข้าไปในพื้นที่ เนื่องจากมีครอบครัวจำนวนมากอยู่ในสภาพสิ้นเนื้อประดาตัว ทรัพย์สินบ้านเรือนถูกกระแสน้ำพัดสูญหาย เหลือเพียงเสื้อผ้าเพียงชุดเดียว ส่วนพื้นที่ชั้นใน เจ้าหน้าที่ต้องเร่งเดินเท้าเข้าไป ขณะที่ผู้ติดอยู่ในพื้นที่ได้เดินเท้าออกมาขอความช่วยเหลือเช่นเดียวกัน