สุราษฎร์ธานี - ทุ่งปากขอ 7,000 ไร่ สะเทือน ป.ป.ช.สุราษฎร์ธานี เดินหน้าดำเนินการปักหมุดพื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริต พร้อมเปิดแผนปกป้องที่สาธารณะทุ่งปากขอ 7,000 ไร่ ให้ประชาชนรวมพลัง ช่วยเฝ้าระวัง พร้อมเปิดช่องชี้เป้าร้องเรียนทุ่งปากขอ เพื่อเร่งขจัดการบุกรุก ลั่นต้องไม่มีเจ้าหน้าที่ละเว้น
วันนี้ (6 ธ.ค.) นายเนติพล ชุมยวง ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการปักหมุดพื้นที่เสี่ยงต่อการทุจริต สำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมทั้ง บรรยายพิเศษหัวข้อ “ปัญหาการบุกรุกที่สาธารณประโยชน์ของประเทศไทย” กล่าวถึงสถิติเรื่องกล่าวหาร้องเรียนที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี พบว่าที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนรู้เห็น และสนับสนุนให้มีการบุกรุกทำลายทรัพยากรธรรมชาติเป็นจำนวนมาก และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี และบทบาทหน้าที่ของสำนักงาน ป.ป.ช. ที่จะสามารถเข้าไปดำเนินการในกรณีเกิดการทุจริตดังกล่าวได้นั้น จะต้องเข้าข่ายความผิด 3 ฐาน คือ มีเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม โดยจะมีอำนาจเข้าไปไต่สวนคดีทุจริตนั้นๆ ได้ รวมถึงเอกชน หรือประชาชนที่มีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นตัวการ ผู้ใช้ หรือผู้สนับสนุน ที่ได้กระทำความผิดร่วมกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ จะรวมอยู่ในอำนาจการไต่สวนของสำนักงาน ป.ป.ช. ทั้งสิ้น ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ถือเป็นสิ่งใกล้ตัวและส่งผลกระทบต่อพวกเราทุกคน
สำหรับการจัดโครงการครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนและหน่วยงานของรัฐมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังป้องกันการทุจริตเชิงรุก รวมทั้งให้ความช่วยเหลือ และสนับสนุนหน่วยงานของรัฐในการจัดให้มีกลไกการแจ้งเตือนพฤติกรรมที่ส่อว่าอาจเกิดการทุจริตเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น โดยกำหนดประเด็น “การดูแลรักษาและคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช่ร่วมกัน” และเลือกพื้นที่ทุ่งปากขอ ต.ทรัพย์ทวี อ.บ้านนาเดิม จ.สุราษฎร์ธานี เป็นพื้นที่เฝ้าระวังเชิงรุก และจะขยายผลครอบคลุมพื้นที่ทั้งจังหวัดต่อไป
สำหรับปัญหาการบุกรุกที่สาธารณะส่วนใหญ่ในประเทศไทยเกิดจากหลายปัจจัย เช่น ผู้บุกรุกไม่ทราบว่าเป็นที่ดินสงวนหวงห้ามอย่างสุจริตใจ เมื่อเห็นว่าเป็นที่ว่างเปล่าจึงเข้าไปยึดถือครอบครองทำประโยชน์ หรือปลูกสร้างสิ่งปลูกสร้างชั่วคราวเพื่อทำประโยชน์ หรือแม้แต่กรณีที่ผู้บุกรุกไม่ทราบอาณาเขตที่แน่นอนทราบแต่เพียงว่าที่ดินบริเวณนั้นๆ เป็นที่สงวนหวงห้ามแต่ไม่ทราบอาณาเขตที่แน่นอนก็เข้าอาจเข้าไปรุกล้ำพื้นที่สาธารณประโยชน์ได้ และในหลายกรณีพบว่าผู้ที่รุกล้ำที่สาธารณประโยชน์เป็นกลุ่มผู้ที่มีเจตนาบุกรุก ผู้บุกรุกประเภทนี้ทราบดีว่าที่ดินที่ตนเข้าไปถือครอบครองนั้นเป็นที่สงวนหวงห้าม และในช่วงที่มีการรุกล้ำที่สาธารณะในช่วงแรกๆ ไม่มี เจ้าหน้าที่เข้ามาว่ากล่าวตักเตือน จนเป็นเหตุให้อาศัยช่องว่างหลบเลี่ยงเรื่อยมา แต่ในบางกรณีเป็นการรู้เห็นร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่ดูแลพื้นที่สาธารณะกับผู้บุกรุกโดยปล่อยให้เอกชนได้รับประโยชน์โดยมิชอบ ซึ่งกรณีนี้ถือเป็นคดีที่มีอัตราโทษสูง