ตรัง - ผู้การตรังเผยสำนวนคดีเครือข่ายพี่ชาย “ฟิล์ม รัฐภูมิ” สาวตรังโร่แจ้งความถูก 6 คนหลอกลงทุนสูญ 62 ล้านปี 2563 “พี่ชายฟิล์ม” โผล่รับทราบข้อกล่าวหาคนเดียวก่อนส่งทนายสู้คดีหมดอายุความร้องทุกข์ฉ้อโกง สำนวนค้างชั้นอัยการ
วันนี้ (16 พ.ย.) จากกรณีคลิปเสียงนักร้องหนุ่มรีดเงิน 20 ล้านจากบอสดิไอคอน กรุ๊ป ที่ ฟิล์ม รัฐภูมิ นักร้องชื่อดังออกมายอมรับว่าเป็นเสียงของตัวเองจริง นอกจากนี้ อี้ แทนคุณ ประธานชมรมสันติประชาธรรม ยังได้ออกมาแฉเพิ่มอีกว่า นอกจากประเด็น 20 ล้านบาทแล้ว ยังมีอีกประเด็นคือ การหลอกลงทุนชาวจังหวัดตรังมูลค่าความเสียหายกว่า 60 ล้านบาท แต่ประเด็นดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีดิไอคอน กรุ๊ป พร้อมกับเผยว่านักตบทรัพย์ชายรายนี้มีพฤติกรรมหลอกลวงให้คนลงทุน โดยทางผู้เสียหายได้มีการเข้าแจ้งความเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น
กระทั่งล่าสุด เมื่อวันที่ 14 พ.ย.2567 ที่ผ่านมา ฟิล์ม รัฐภูมิ ได้เปิดใจผ่านรายการลุยชนข่าว ของช่อง 8 ถึงประเด็นปมเงิน 60 ล้านว่าไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง โดยธุรกิจที่พี่ชายของฟิล์ม รัฐภูมิ ไปทำกันเอง แล้วโดนเพื่อนโกง ซึ่งพี่ชายเองรับภาระหนี้มาในส่วนส่วนหนึ่ง จากนั้นคดีถูกส่งไปที่พนักงานสอบสวนและมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง จากนั้นพอไปถึงชั้นอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องเช่นกัน
ล่าสุด พล.ต.ต.ภัทรวิชญ์ คีตโมทนียกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตรัง ให้สัมภาษณ์ว่า จากกรณีที่มีข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ คุณฟิล์ม รัฐภูมิ ที่มีกระแสดังอยู่ในขณะนี้ ซึ่งหลังจากปรากฏเป็นข่าวตนได้ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับรายละเอียดคดีนี้ ปรากฏว่าได้มีผู้เสียหายเป็นหญิงชาวจังหวัดตรังได้มาแจ้งความร้องทุกข์ มอบคดีกับพนักงานสอบสวนของ สภ.เมืองตรังไว้เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2563 เพื่อให้ดำเนินคดีผู้ถูกกล่าวหามีจำนวน 6 คน ในจำนวน 6 คนนี้มีพี่ชายของฟิล์ม รัฐภูมิ และตัวฟิล์ม รัฐภูมิด้วย ซึ่งพนักงานสอบสวนในขณะนั้น ได้รับคำร้องทุกข์ไว้ดำเนินคดี มีการสอบสวนปากคำไปเรียบร้อย สำหรับมูลค่าความเสียหายที่ทางผู้เสียหายแจ้งว่าได้ถูกฉ้อโกงไปประมาณ 62 ล้านบาทเศษ โดยลักษณะของการหลอกให้ลงทุนสกุลเงินสกุลหนึ่งโดยจะได้รับผลตอบแทนที่มีมูลค่าสูงหลายเท่า แต่หลังจากที่ลงทุนไปแล้วปรากฏว่าไม่ได้รับผลตอบแทนตามที่คุยกันไว้ เลยมาร้องทุกข์มอบคดีต่อพนักงานสอบสวน
พล.ต.ต.ภัทรวิชญ์ กล่าวอีกว่า ที่พนักงานสอบสวนได้สอบสวนปากคำไปตามลำดับก็ได้มีการออกหมายเรียกผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 6 รายมารับทราบข้อกล่าวหา แต่ในจำนวน 6 รายที่ถูกกล่าวหา มีเพียง 1 รายที่มาพบพนักงานสอบสวนและได้รับทราบข้อกล่าวหา คือ พี่ชายของฟิล์ม รัตภูมิ โดยเบื้องต้นได้แจ้งข้อกล่าวหา เป็นเรื่องฉ้อโกง หลังจากนั้นมีการผลัดฟ้อง ซึ่งคดีฉ้อโกงจะต้องมีการผลัดฟ้อง มีกรอบระยะเวลาในการดำเนินการอยู่ ฟ้องไปจนกระทั่งใกล้จะครบระยะเวลาในการผลัดฟ้องแล้ว ซึ่งผู้ถูกกล่าวหารายอื่นยังไม่มาพบ
ด้วยเงื่อนเวลาที่จำกัด พนักงานสอบสวนเลยมีความเห็นทางคดีสั่งฟ้อง เฉพาะผู้ต้องหารายแรก คือ พี่ชายฟิล์ม ที่มารับทราบข้อหาไปก่อน และส่งสำนวนคดีให้อัยการ เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม 2563 ตำรวจเร่งทำคดีในปีเดียวกัน หลังจากที่ส่งสำนวนให้อัยการไปไม่นาน ไม่เกิน 1 เดือน อัยการส่งสำนวนคืนกลับมาให้พนักงานสอบสวนพิจารณามีความเห็นในส่วนของผู้ถูกกล่าวหารายอื่นให้ครบถ้วนไปในคราวเดียวกันด้วย หมายความว่าที่ผู้เสียหายแจ้งความมอบคดีไว้ประมาณ 6 คน ตอนนี้พนักงานสอบสวนสั่งฟ้องไปเพียงแค่รายเดียว ให้พนักงานสอบสวนมาพิจารณามีความเห็นทั้ง 6 คนเลยว่าจะสั่งฟ้องหรือจะอย่างไร
พล.ต.ต.ภัทรวิชญ์ กล่าวว่า หลังจากได้สำนวนจากทางอัยการคืน พี่ชายนายฟิล์มที่ถูกสั่งฟ้องไปแล้ว ได้ให้ทนายความมายื่นพยานหลักฐาน โดยเป็นพยานหลักฐานระบุ การที่ผู้เสียหายได้มีการมอบหมายบุคคลหนึ่งไปพูดคุยติดตามทวงเงินคืนจากกลุ่มผู้ถูกกล่าวหา โดยผู้เสียหายมอบหมายให้บุคคลคนนี้ไปทวงเงินมาก่อนและเกิดขึ้นเมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2562 และอ้างว่าผู้เสียหายรับทราบเรื่องนี้มาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ดังนั้น ผู้เสียหายมาร้องทุกข์มอบคดีต่อพนักงานสอบสวนในเดือนมกราคม 2563 ทนายฝ่ายผู้ถูกกล่าวหาจึงแย้งว่าถือเกินระยะเวลาในการร้องทุกข์มอบคดี เป็นเหตุให้คดีขาดอายุความในการร้องทุกข์ตั้งแต่แรก เนื่องจากอายุความร้องทุกข์ฐานถูกฉ้อโกงตามหลักกฎหมายจะต้องแจ้งความดําเนินคดีภายใน 3 เดือนนับตั้งแต่ทราบเรื่องและรู้ตัวผู้หลอก เมื่อมีหลักฐานปรากฏดังกล่าวตำรวจเลยทำการสอบสวนในประเด็นนี้ โดยได้เรียกพยานในการทวงเงินดังกล่าว พบว่าได้มีการพูดคุยเจรจากัน เป็นที่มาที่ทางผู้เสียหายทราบเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว และได้มีการสอบสวนปากคำผู้เสียหายเพิ่มเติม
สุดท้ายพนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวน และมีความเห็นทางคดี 6 รายที่ถูกกล่าวหา โดยเห็นว่าคดีขาดอายุความในการร้องทุกข์ ประกอบกับในระหว่างนั้นผู้เสียหายได้มาถอนคำร้องทุกข์ในบางราย โดยมาถอนไป 3 ราย ซึ่งเป็นในระดับโปรแกรมเมอร์เขียนระบบในการเทรด และอ้างว่าได้รับการชดใช้ในบางส่วนแล้วจากผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 3 รายแล้ว มีเจตนาที่จะรับผิดชอบ พอเห็นว่าเงินที่พี่ชายคุณฟิล์มไปพูดคุยและได้เงินมา ไม่ได้นำมาลงทุนหรือมาทำโปรแกรมอะไรนี้จริงๆ ทางโปรแกรมเมอร์ก็คืนเงินเท่าที่สามารถคืนได้ ทำให้ผู้เสียหายพอใจเลยถอนคำร้องทุกข์ใน 3 รายนี้ แต่ยังดำเนินคดีเพียงแค่ 3 รายเท่านั้นคือพี่ชายนายฟิล์ม และตัวนายฟิล์ม
“แต่ในสำนวนสุดท้ายสรุปสำนวนสั่งไม่ฟ้องโดยโดยอ้างเหตุขาดอายุความ จากนั้นทางตำรวจได้ส่งเรื่องกลับไปให้พนักงานอัยการภาค 9 พิจารณาต่อว่าเห็นควรหรือจะสั่งเพิ่มเติมมาย่างไร นับตั้งแต่นั้นสำนวนก็ไปอยู่ที่พนักงานอัยการ ปัจจุบันยังไม่มีคำสั่งจากพนักงานอัยการมาว่าจะให้สอบเพิ่มเติม หรือมีความเห็นสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง หรือไม่อย่างไร” พล.ต.ต.ภัทรวิชญ์ กล่าว
พล.ต.ต.ภัทรวิชญ์ กล่าวว่า ในประเด็นของการขาดอายุความในการร้องทุกข์มอบคดี เนื่องจากว่าคดีฉ้อโกงเป็นคดีต่อส่วนตัว ซึ่งตามกฎหมายกำหนดอายุความในการร้องทุกข์มอบคดีให้พนักงานสอบสวนไปดำเนินคดีจะต้องไม่เกินระยะเวลา 3 เดือน นับแต่วันที่รู้เรื่องของการทำกระทำความผิดนี้ ดังนั้นถ้าหากว่ากรณีนี้ผู้เสียหายทราบเรื่องการกระทำความผิดนี้ตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2562 ก็ควรจะต้องมาร้องทุกข์มอบคดี ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีไม่เกินสิ้นปี 2562 หรือไม่เกินระยะเวลา 3 เดือนนับแต่วันที่รู้เรื่องของการกระทำความผิดเกิดขึ้น เมื่อปรากฏว่ามาร้องทุกข์ในเดือนมกราคมปี 2563 ทำให้เกินระยะเวลาในการร้องทุกข์ คือเกินระยะเวลา 3 เดือน เป็นเหตุให้คดีนี้ขาดอายุความไม่สามารถที่จะดำเนินคดีได้ตามข้อกฎหมาย
พล.ต.ต.ภัทรวิชญ์ กล่าวว่า ทั้งนี้ปัจจุบันยังไม่ปรากฏว่ามีผู้เสียหายรายอื่นเกี่ยวกับคดีนี้ มีเพียงแค่รายนี้รายเดียวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2563 ซึ่งลักษณะเหมือนกับว่าผู้เสียหายรายนี้ได้ไประดมทุนจากคนอื่นๆ มาเหมือนกับหุ้นกันร่วมกัน แล้วรวมกันเป็นก้อน ได้เงินจำนวน 62 ล้านบาท แล้วนำมาลงทุน แล้วผู้เสียหายรายอื่นที่ถูกระดมทุนก็ยังไม่มีเข้ามาแจ้งความแต่อย่างใด
นอกจากนี้ยังทราบอีกว่า ผู้เสียหายเคยมีประวัติ เป็นผู้ต้องหาในคดีลักษณะเดียวกันมาก่อน โดยเมื่อปลายปี 2562 เคยมีบุคคลอื่นมาแจ้งความกล่าวโทษว่าผู้เสียหายในรายนี้ได้เคยไปฉ้อโกงประชาชนระดมเงินผู้อื่นมาลงทุนกับตัวเองเหมือนกัน ได้มีบุคคลที่อ้างว่าถูกหลอกมาแจ้งความดำเนินคดีกับตัวผู้เสียหายเองเช่นกัน ก่อนหน้าที่ผู้เสียหายมาแจ้งความกล่าวหาพี่ชายนายฟิล์มฉ้อโกง 62 ล้านบาทในปี 2563 ซึ่งถือว่าอยู่ในช่วงใกล้เคียงกันทั้ง 2 เหตุการณ์ ผู้เสียหายเลยโวยวายว่าที่ตัวเองถูกดำเนินคดีในเรื่องก่อนนั้น เพราะตัวเองก็ถูกหลอกมาจากกลุ่มของพี่ชายนายฟิล์มเหมือนกัน เหมือนหลอกกันไปหลอกกันมา