คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้ โดย… ไชยยงค์ มณีพิลึก ณ เวลานี้เชื่อว่าคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้กำลังใจจดจ่อกับการจะมาเยือนของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมๆ กับอยากรู้ว่า จะมีการยกฐานะ “ขบวนการบีอาร์เอ็น” ให้เป็น “องค์กรก่อการร้าย” อย่างเป็นทางการหรือไม่
สำหรับ “คดีตากใบ” เวลานี้ได้ยุติแล้วอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ด้วยองค์คณะผู้พิพากษาศาลจังหวัดนราธิวาสได้สั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบ ซึ่งไม่ใช่การ “ยกฟ้อง” แต่เป็นเพราะตำรวจไม่สามารถติดตามนำตัวจำเลยมาขึ้นศาลตามหมายจับได้ตามกำหนด
จำเลยทั้ง 14 คนจึงยังไม่ได้พิสูจน์การกระทำผิด แม้ถือว่าพ้นผิดไปแล้ว สำหรับผู้ที่ยังรับราชการยังต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบทางวินัยต่ออีก ซึ่งหลังจากนี้จะดำเนินชีวิตต่อด้วยความสง่างามได้หรือไม่ นั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง นี่คือ “ต้นทุน” ที่ทุกคนต้องแบกรับกันต่อไป
เชื่อว่าหลังจากนี้คดีตากใบจะถูกนำไปใช้เป็น “เงื่อนไขทางการเมือง” เพื่อทำลายล้างรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย อีกทั้งจะเป็นอีกหนึ่ง “ตราบาป” ให้แก่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้พ่อ และถูกส่งต่อถึงลูกสาว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน
สำหรับขบวนการแบ่งแยกดินแดนตัวพ่อนั้น ก่อนคดีตากใบขาดอายุความเพียง 1 วันได้ออกแถลงการณ์สื่อสารกับสังคมว่า บีอาร์เอ็นไม่ได้อยู่เบื้องหลังปลุกปั่นให้ญาติผู้ตายทั้ง 48 ครอบครัวออกมาเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดี เช่นเดียวกับการก่อเหตุความรุนแรงในห้วงเวลานี้ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
ใครไม่รู้จักบีอาร์เอ็นอาจเชื่อ เพราะหาหลักฐานไม่ได้ ที่สำคัญมองไม่เห็นการเชื่อมโยงระหว่างขบวนการกับ “นักการเมืองบางพรรคหรือบางกลุ่ม” ผ่านภาคประชาสังคม เอ็นจีโอและนักสิทธิมนุษยชนใต้ปีกบีอาร์เอ็น รวมทั้งการเชื่อมโยงกับ “องค์กรชาติตะวันตก” ที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง
หรือกล่าวโดยสรุปก็คือ นับจากนี้คดีตากใบได้ถูกชี้นำให้เป็นเรื่องของ “ความอยุติธรรม” เพื่อนำไปใช้เคลื่อนไหวถล่มรัฐบาลและกระบวนการดับไฟใต้ โดยมีผลประโยชน์ของ “พรรค” และ “ส่วนตัว” เข้ามาพัวพันอย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนจะส่งผลให้ความรุนแรงเพิ่มขึ้นหรือไม่นั้น ประเด็นนี้ไม่ควรกังวล เพราะไม่ว่าจะมีหรือไม่มีคดีตากใบเข้ามาเกี่ยวข้อง ในพื้นที่ชายแดนใต้ก็เกิดเหตุร้ายขึ้นตามวงจรปกติอยู่แล้ว เพียงแต่คดีตากใบช่วยเพิ่มน้ำหนักให้บีอาร์เอ็นนำไป “สร้างเงื่อนไข” ต่อทั้งคนในพื้นที่และองค์กรในระดับนานาชาติได้เป็นอย่างดี
จึงเป็นหน้าที่ของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าโดยตรงว่า จะป้องกันพื้นที่ได้ดีระดับไหน?! อย่างไร?!
การที่บีอาร์เอ็นออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ จึงเป็นเรื่อง “โกหกมดเท็จ” ที่วันนี้ไม่น่าจะใช้หลอกคนในชายแดนใต้ได้อีกต่อไป อีกทั้งการ “ใส่ร้ายป้ายสี” ว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ของเจ้าหน้าที่รัฐก็คงใช้ไม่ได้อีกเช่นกัน
โดยเฉพาะเหตุคาร์บอมบ์ที่ข้าง สภ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี ที่ใช้วิธีปล้นรถยนต์ราชการของ อบต.บ้านน้ำบ่อ แล้วไปประกอบระเบิด ตำรวจก็สืบสวนสอบสวนจนจับกุมคนใน อบต.ที่เป็นสายโจรได้แล้ว ซึ่งมีพยานหลักฐานชัดเจนว่า เป็นฝีมือก่อการร้ายของบีอาร์เอ็น
เช่นเดียวกับที่เคยเหตุคาร์บอมบ์แฟลตตำรวจ สภ.บันนังสตา จ.ยะลา เมื่อหลายเดือนก่อน ที่มีการปล้นรถราชการของ อบต.ธารโต จ.ยะลา ไปประกอบระเบิด และตำรวจสอบสวนจนจับกุมคนของ อบต.ธารโตเป็นผู้ต้องหาที่สมรู้คบคิดกับกลุ่มติดอาวุธของบีอาร์เอ็นได้เช่นกัน
ว่าไปแล้วคดีตากใบไม่น่าจะเป็นเงื่อนไขให้เกิดการก่อเหตุร้ายเพิ่มขึ้นมาก หรือไม่น่าจะส่งผลกระทบทางการเมืองกับรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย ดังจะเห็นจาก น.ส.แพทองธาร ชินวัตร มีกำหนดการลงพื้นที่ชายแดนใต้นับตั้งแต่นั่งนายกฯ ช่วงแรกๆ
แม้ดูเหมือนจะมีความรู้ความเข้ายังไม่มากพอ แต่ในฐานะสวม “หัวโขน” ผู้นำประเทศ เธอจึงสมควรที่จะให้ความสำคัญกับสถานการณ์ไฟใต้ เพราะการลงพื้นที่มารับฟังปัญหาด้วยตัวเองจากทั้ง กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ถือเป็นเรื่องจำเป็นและสมควรจะกระทำโดยเร็ว
ทั้งนี้ เรื่องที่นายกฯ ต้องให้ความสำคัญมากที่สุดคือ การแก้ปัญหาความไม่สงบ ไม่ใช่เรื่องเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนหรือการท่องเที่ยวอย่างที่นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ คนก่อนเคยประกาศ ซึ่งจะเป็นการสูญเปล่าทั้ง “งบประมาณ” และ “เวลา” เพราะสิ่งเหล่านั้นจะเกิดขึ้นได้เองหากไฟใต้มอดดับลงได้
ข่าวว่า หน่วยงานความมั่นคงและ “ผู้อยู่เบื้องหลังนายกฯ” จะมีการประชุมหาข้อสรุปว่า จะมีการ “ยกฐานะ” บีอาร์เอ็นให้เป็นองค์กรก่อการร้ายหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่นายกฯ ต้อง “มีข้อมูลมากพอ” ก่อนที่ลงพื้นที่
ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหลังปรากฏการณ์ “ช้างเหยียบนา พระยาเหยียบเมือง” ที่จะเกิดขึ้น เมื่อผ่านพ้นไป สถานการณ์ไฟใต้ต้องดีขึ้น ต้องไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนสมัย “อดีตนายกฯ ผู้พ่อ” ที่ตอนยกทัพมาแผ่นดินชายแดนใต้ได้กล่าววลีเด็ด “โจรกระจอก” อันเป็นเหมือนราดน้ำมันลงบนกองไฟใต้