โดย.. นพ.สุนทร ศรีสุวรรณ์ อาจารย์แพทย์ ศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลศูนย์หาดใหญ่
อาการมือชา เป็นกลุ่มอาการที่ตรวจพบเป็นประจำในผู้ป่วยโรคกระดูกและข้อ โดยทางการแพทย์เรียกว่า โรคพังผืดทับเส้นประสาทที่ข้อมือ (Carpal Tunnel Syndrome)
สาเหตุของโรค
โรคพังผืดทับเส้นประสาทที่ข้อมือ หรือที่เรียกว่า Carpal Tunnel Syndrome (CTS) เกิดจากการที่เส้นประสาทมีเดียน (Median Nerve) ถูกกดทับในบริเวณที่เรียกว่า “carpal tunnel” ซึ่งเป็นช่องแคบในข้อมือ โดยภายในช่องนี้จะมีเส้นเอ็นและเส้นประสาทที่ผ่านไปยังนิ้วมือ เส้นประสาทมีเดียนทำหน้าที่ควบคุมความรู้สึกของนิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง และครึ่งหนึ่งของนิ้วนาง เมื่อเกิดการกดทับนานๆ จะทำให้เกิดอาการผิดปกติขึ้น
สาเหตุที่พบได้บ่อยของการเกิดโรคมีดังนี้:
• การใช้งานข้อมือมากเกินไป เช่น การทำงานที่ต้องใช้ข้อมือทำซ้ำๆ เป็นเวลานาน หรือทำกิจกรรมที่ต้องงอข้อมืออย่างต่อเนื่อง
• ปัจจัยทางพันธุกรรม บางคนมีช่อง carpal tunnel ที่แคบตั้งแต่เกิด ทำให้มีความเสี่ยงต่อการกดทับเส้นประสาทมากขึ้น
• โรคเรื้อรังอื่นๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (rheumatoid arthritis) หรือภาวะการทำงานของต่อมไทรอยด์ผิดปกติ (hypothyroidism)
• การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เช่น ในช่วงตั้งครรภ์ หรือวัยหมดประจำเดือน ทำให้เกิดการบวมที่ข้อมือได้ง่ายขึ้น
อาการของโรค
ผู้ป่วย Carpal Tunnel Syndrome มักมีอาการดังต่อไปนี้:
1.ชาหรือปวดในมือและนิ้ว โดยเฉพาะที่นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง และครึ่งหนึ่งของนิ้วนาง อาการนี้อาจเกิดขึ้นในเวลากลางคืนหรือขณะทำกิจกรรมที่ใช้มือมาก
2.อาการรู้สึกเสียวเหมือนมีเข็มแทง มักจะเกิดเมื่อเส้นประสาทมีเดียนถูกกดทับอย่างรุนแรง
3.มืออ่อนแรง ในบางกรณี การกดทับเส้นประสาทเป็นเวลานานจะทำให้กล้ามเนื้อที่อยู่ในบริเวณโคนนิ้วโป้งอ่อนแรงลง จนไม่สามารถหยิบจับสิ่งของได้ดี
4.อาการบวมที่ข้อมือหรือมือ แม้ว่าอาการบวมจะไม่ชัดเจนภายนอก แต่ผู้ป่วยมักรู้สึกว่าข้อมือบวมและหนัก
วิธีการวินิจฉัย
แพทย์จะทำการวินิจฉัยโรค Carpal Tunnel Syndrome โดยใช้วิธีต่างๆ ดังนี้:
1.ซักประวัติและตรวจร่างกาย แพทย์จะถามถึงอาการ การใช้งานมือ และสังเกตการอ่อนแรงของมือ โดยอาจทดสอบการกดข้อมือหรือการเคลื่อนไหวของมือ
2.การตรวจทางไฟฟ้าของเส้นประสาท (Nerve Conduction Study - NCS) วิธีนี้ใช้วัดความเร็วในการนำกระแสไฟฟ้าผ่านเส้นประสาท เพื่อประเมินว่ามีการกดทับเส้นประสาทหรือไม่
3.การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromyography - EMG) ใช้สำหรับตรวจสอบการทำงานของกล้ามเนื้อ เพื่อดูว่ามีการเสียหายของเส้นประสาทหรือไม่
แนวทางการรักษา
การรักษา Carpal Tunnel Syndrome สามารถแบ่งเป็น 2 แนวทางหลัก คือ การรักษาแบบไม่ผ่าตัดและการรักษาแบบผ่าตัด ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค
การรักษาแบบไม่ผ่าตัด
• การพักการใช้งานมือ หยุดหรือหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาท
• การใส่อุปกรณ์พยุงข้อมือ เพื่อช่วยให้ข้อมืออยู่ในท่าที่เหมาะสมและลดการกดทับเส้นประสาท โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืน หรือ ระหว่างทำงาน
• การใช้ยาต้านการอักเสบ เช่น ยา NSAIDs (Nonsteroidal anti-inflammatory drugs) เพื่อลดการอักเสบและบรรเทาอาการปวด
• การฉีดสเตียรอยด์ ในกรณีที่อาการรุนแรงขึ้น สเตียรอยด์จะช่วยลดการอักเสบและลดการกดทับเส้นประสาทได้ชั่วคราว
• การทำกายภาพบำบัด เพื่อช่วยปรับการใช้งานข้อมือให้เหมาะสม และเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
การรักษาแบบผ่าตัด
หากการรักษาแบบไม่ผ่าตัดไม่ได้ผล หรือในกรณีที่อาการรุนแรงมาก แพทย์อาจแนะนำให้ผ่าตัดเพื่อคลายการกดทับเส้นประสาท การผ่าตัดมักมี 2 วิธี:
• การผ่าตัดเปิด (Open Release Surgery) เป็นการผ่าตัดแบบเปิดเพื่อคลายการกดทับของเส้นประสาทมีเดียน
• การผ่าตัดผ่านกล้อง (Endoscopic Surgery) ใช้กล้องขนาดเล็กเพื่อช่วยในการผ่าตัด
การป้องกันและคำแนะนำในการดูแลตัวเอง
• หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ต้องใช้มือในลักษณะซ้ำๆ เป็นเวลานาน
• ใช้ท่าทางที่เหมาะสมขณะทำงานโดยเฉพาะกับคอมพิวเตอร์ และพักข้อมือเป็นระยะ
• หากมีอาการปวดหรือชาในข้อมือหรือมือ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันการเกิดความเสียหายถาวร
โรคพังผืดทับเส้นประสาทที่ข้อมือเป็นโรคที่สามารถรักษาได้ แต่การป้องกันและการดูแลตัวเองอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดโรคในระยะยาว
อ่านความรู้เพิ่มเติมได้ที่ www.thedoctorbone.com