xs
xsm
sm
md
lg

อนุสาวรีย์วัวชนแห่งเดียวของไทยสร้างเพื่อระลึกถึง “โคหัวกัว” ชนะ 19 ครั้งติดกัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ตรัง - อนุสาวรีย์วัวชนเพียงแห่งเดียวของไทย ในพื้นที่ ต.บางเป้า อ.กันตัง จ.ตรัง โดยเจ้าของสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึง “โคหัวกัว” ที่เอาชนะคู่แข่งได้ถึง 19 ครั้งติดต่อกัน อย่างที่ไม่เคยมีวัวชนตัวใดทำได้

วันนี้ (7 ต.ค.) นายละดม เชื้อช่วย นายกเทศมนตรีตำบลบางเป้า อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง ได้นำชมอนุสาวรีย์โคหัวกัว ซึ่งเป็นโคชนหรือวัวชนที่มีเพียงแห่งเดียวของประเทศไทย ในพื้นที่หมู่ที่ 6 บ้านควนทองสีห์ ตำบลบางเป้า ซึ่งเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปของผู้คนรุ่นอายุ 70-80 ปี โดยสร้างขึ้นมาเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว ตามแนวคิดของนายสมบูรณ์ รักราวี อดีตเกษตรกรชาวนา ซึ่งเคยประกอบอาชีพรับเลี้ยงวัวพื้นเมืองที่ถูกส่งมาจากจังหวัดต่างๆ ในภาคใต้ ฝูงละ 500-1,000 ตัว ก่อนนำลงท่าเรือกันตัง แล้วส่งไปขายประเทศอินโดนีเซีย

ทั้งนี้ เมื่อกว่า 80 ปีที่แล้ว นายสมบูรณ์ ได้พ่อพันธุ์วัวชนตัวหนึ่งมาจาก จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งดูแล้วมีรูปร่างดี จึงนำมาผสมกันแม่พันธุ์วัวชนใน จ.ตรัง จนได้ลูกวัวชนตัวหนึ่งออกมา แต่เนื่องจากที่หน้าผากของมันมีขนงอกออกมาเป็นวงกลมสีขาว จึงตั้งชื่อว่า โคหัวกัว เพราะมีลักษณะเหมือนกับปลาหัวตะกั่ว กระทั่งประมาณปี 2487 เมื่อลูกวัวชนตัวนี้เติบใหญ่สมบูรณ์เต็มที่ จึงได้นำไปชนแข่งขันทั่วทั้งภาคใต้

ตลอดระยะเวลา 10 ปี ในการลงสังเวียนสู้ศึกของ “โคหัวกัว” เอาชนะคู่แข่งได้ถึง 19 ครั้งติดต่อกัน อย่างที่ไม่เคยมีวัวชนตัวใดทำได้เลยมาจนถึงปัจจุบันนี้ กระทั่งเมื่อถึงนัดที่ 20 ซึ่งเป็นไฟต์ที่จำต้องลงสนามแข่งตามเสียงเรียกร้องของเซียนวัวชน และถูกจับคู่ให้ชนกับ โคขาวเทวา จาก อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งคืนก่อนลงสังเวียน นายสมบูรณ์ ฝันว่า วัวชนของเขาจะไม่แพ้วัวตัวใดในประเทศไทย นอกจากวัวเทวดา ขณะที่โคหัวกัวก่อนจะชนในครั้งนั้นก็ยืนน้ำตาไหลอาบแก้ม

หลังจากลงทำการแข่งในนัดที่ 20 และต้องพ่ายไปเป็นครั้งแรก นายสมบูรณ์ ตัดสินใจยุติบทบาทวัวชนแสนรักบนสังเวียนอย่างสิ้นเชิง แล้วนำมาเลี้ยงไว้จนตายลงไปเมื่อปี 2497 อย่างไรก็ตาม ด้วยความอาลัย และเพื่อแสดงความยกย่อง เขาจึงได้สร้างอนุสาวรีย์ให้เมื่อปี 2535 ที่บ้านของคุณแม่ คือ นางช่วง รักราวี ซึ่งปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว โดยปั้นวัวชนขนาดเท่าตัวจริง พร้อมตัวฐาน โต๊ะบูชา รั้ว และโคมไฟ ซึ่งจะมีการทำบุญเลี้ยงพระ และอาบน้ำให้รูปปั้นในช่วงประมาณเดือนเมษายนของทุกปี

นายละดม เชื้อช่วย นายกเทศบาลตำบลบางเป้า บอกว่า ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของอนุสาวรีย์โคหัวกัว จึงมีเซียนวัวชนมาบทบานศาลกล่าวก่อนนำวัวไปลงสนามแข่ง รวมไปถึงชาวประมงซึ่งต้องออกเรือไปหาปลา จะมาขอพรกัน โดยหากสำเร็จผลจะนำธูปเทียน กล้วยน้ำว้า อ้อย หญ้าครุน และประทัด มาบูชา รวมทั้งบางรายยังได้มีการนำกลองยาวมาแสดงแก้บนหน้าอนุสาวรีย์ด้วย

อย่างไรก็ตาม หากวัวตัวดังกล่าวยังมีชีวิตอยู่ในขณะนี้เชื่อว่า จะมีค่าตัวมูลค่าสูงในระดับต้นๆ ของประเทศคือ ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาทเลยทีเดียว


กำลังโหลดความคิดเห็น