สุราษธานี - ศาลเยาวชนสุราษฎร์ฯ สั่งไม่ให้ครอบครัวนำเด็ก 9 ขวบ ไปทำกิจกรรมเชื่อมจิต เผยแพร่คำสอนในสถานที่ต่างๆ และสังคมออนไลน์ ทั้งภาพเสียงสื่อพิมพ์ พร้อมให้นำไปตรวจสุขภาพจิตโดยคำสั่งมีอายุ 6 เดือน ห้ามหาผลประโยชน์
เวลา 09.00 น. วันนี้ (28 ส.ค.) ที่ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสุราษฎร์ธานี นางนัฐพร วงศ์ทวิชาติ หรือแม่นก พร้อมด้วยนายพิชญะ ศูนยะคณิต พ่อนก รวมทั้งน้องไนซ์ และนายธรรมราช สาระปัญญา หรือ “ทนายต้อ” ทนายความ พร้อมนายอภิเชษฐ์ ปานจรัตน์ ผู้อำนวยการฟื้นฟูเด็กและเยาวชน บ้านพักเด็กและครอบครัว จ.สุราษฎร์ธานี ได้เดินทางมาฟังคำสั่งศาล จากกรณีสำนักงานพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) สุราษฎร์ธานี ยื่นขอคุ้มครอง น้องไนซ์ ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ต่อศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสุราษฎร์ธานี ให้ผู้ปกครองหยุดดำเนินการนำเด็กไปทำกิจกรรมต่างๆ และให้ผู้ปกครองร่วมมือกับ พม.ในการวางแผนเลี้ยงดูเด็ก โดยศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้มีคำสั่งให้ผู้ถูกร้องปฏิบัติตามดังต่อไปนี้
1.ห้ามผู้ร้องทั้งสองแสวงหาผลประโยชน์จากเด็กชายอายุ 9 ขวบ โดยห้ามไปทำกิจกรรมเชื่อมจิต หรือเผยแพร่คำสอนในสถานที่ต่างๆ สังคมออนไลน์ หรือทำกิจกรรมดังกล่าวภาพเสียงสื่อพิมพ์
2.ให้ผู้ถูกร้องทั้งสองนำเด็กชายอายุ 9 ขวบ เข้าพบและรับคำปรึกษาจากจิตแพทย์ ประจำสถาบันสุขภาพจิตภาคใต้ อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี ภายใน 15 วัน นับแต่วันนี้ โดยให้แพทย์ตรวจรักษาให้คำปรึกษา 2 ครั้ง ภายใน 6 เดือน และให้ผู้ตรวจรักษาทำรายงานต่อศาล และให้ผู้ร้องกำกับดูแล ใช้อำนาจปกครองผู้ร้องคำสั่งมีผลภายใน 6 เดือน นับแต่ทราบคำสั่ง โดยศาลใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษในการอ่านคำสั่ง
ด้านแม่นก กล่าวภายหลังฝังคำศาล ว่า การมาฟังคำตัดสินในครั้งนี้ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย ศาลจะมองไปที่สวัสดิภาพของน้องเป็นหลัก เพราะว่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเกิดจากการที่การนำภาพน้องไปเผยแพร่และมีการไปตัดต่อ ในส่วนที่ตนไม่เห็นด้วยในเรื่องของการที่ศาลมองเห็นว่าเราแสวงหาผลประโยชน์ ด้วยทางครอบครัวทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ส่วนการให้น้องมาสอนธรรมเราไม่ได้รับผลประโยชน์อะไร สามารถไปพิสูจน์ไปตรวจสอบได้ใน tiktok หากทางเราทำในลักษณะธุรกิจเพื่อให้ได้ในการปล่อยคลิปหรือใน YouTube ในแง่ธุรกิจที่มีรายได้จริงหรือเปล่าทั้ง 3 ช่องทางไม่ว่าจะเป็น เฟซบุ๊ก YouTube หรือ tiktok ทางพ่อแม่ไม่มีผลประโยชน์อะไรจากน้องเลย
ในส่วนของการตรวจสุขภาพจิตเรามองศาลอาจจะมอง ว่า น้องมีความเครียดเรื่องของข่าว ทางครอบครัวจะมีการอุทธรณ์ในเรื่องการสอนธรรมของน้อง เพราะเรามีหลักฐานเพิ่มเติม ส่วนกรณีที่ศาลมองว่าทางเรามีผลประโยชน์ ตรงนี้ทางศาลอาจจะมองว่าโดยปกติคนเราการที่ลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้ ถ้าไม่มีผลประโยชน์ไม่มีใครเขาทำกัน นั่นเป็นมุมมองทั่วไปที่มีการมองเป็นอย่างนั้น ซึ่งทางเรายังไม่ได้แสดงหลักฐานให้ทางศาลได้เห็นอย่างชัดเจน เพราะฉะนั้นจะนำหลักฐานทั้งหมดประกอบส่งยื่นในชั้นอุทธรณ์
ส่วนกรณีศาลให้หยุดในเรื่องของการแสวงหาผลประโยชน์จากน้อง ซึ่งตอนนี้เราดูแล้วในเรื่องช่อง YouTube หรือช่องทางที่เราเผยแพร่ทางออนไลน์ไม่ว่าจะในเฟซบุ๊ก ในติ๊กต็อก เราไม่ได้ทำแบบธุรกิจหรือมีผลประโยชน์ การที่น้องไปสอนธรรมในเรื่องค่าวิทยากรนั้น ทางน้องไม่เคยรับเงินค่าวิทยากรในการสอนธรรมแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นมีประเด็นเดียว ที่หมิ่นเหม่ในเรื่องของการจัดสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรม หลังจากมีคำสั่งศาลแล้ว ทางเราจะมีการประกาศหน้าเพจ หยุดการรับบริจาค หยุดดำเนินการก่อสร้างสถานที่ปฏิบัติธรรม เพื่อให้ญาติธรรมทุกท่านทราบต่อไป