คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้ โดย…ไชยยงค์ มณีพิลึก
เสียงตะโกน “เมอร์เดก้า ปาตานี” ในขบวนแห่ 2 ศพ ซึ่งถูกวิสามัญฆาตกรรมเมื่อ 2 พ.ค.2567 ที่บ้านน้ำดำ อ.ทุ่งยาแดง จ.ปัตตานี ถือเป็นเหตุการณ์ “บิดเบือนข้อเท็จจริงซ้ำซาก” ว่าผู้เสียชีวิต “ชาอีด” หรือพลีชีพในฐานะ “นักรบพระเจ้า” ทั้งที่เป็นเรื่องของขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาแต่อย่างใด
ใครสงสัยว่าไม่เป็นจริงดังว่า ให้ไปสอบถามได้จากผู้นำศาสนา ตั้งแต่ประธานกรรมการอิสลามประจำจังหวัด ดาโต๊ะยุติธรรม และอิหม่ามประจำมัสยิดต่างๆ ยิ่งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งรัฐบาลและหน่วยงานในพื้นที่อย่าง ศอ.บต.และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ดูเหมือนเอาใจพี่น้องมุสลิมยิ่งกว่าคนพุทธเสียด้วย
แต่ทำไมทุกครั้งที่ “คนร้าย” ที่ก่อคดีและมีหมายจับ แถมยังเป็นขบถต่อแผ่นดินเกิด เมื่อเสียชีวิตจากการต่อสู้เจ้าหน้าที่รัฐ ทำไมครอบครัวไม่แยกแยะผิดชอบชั่ว แต่กลับละเลยหลักการศาสนา รวมถึงหลักกฎหมายบ้านเมือง คิดได้อย่างไรว่าผู้ตายเป็นวีรบุรุษ เป็นนักรบพระเจ้า เป็นผู้พลีชีพเพื่อมาตุภูมิ
การนำศพคนร้ายถูกวิสามัญฯ ไปประกอบพิธีในลักษณะดังกล่าว ขอถามว่าเป็นเรื่องที่ครอบครัวและญาติมิตรคิดเอง หรือเป็นเพราะถูกแกนนำหรือแนวร่วมบีอาร์เอ็นบีบบังคับให้ทำ ที่สำคัญเรื่องนี้ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เคยศึกษาวิเคราะห์ หรือกระทั่งเคยให้ความสนใจประเด็นนี้หรือไม่
กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า คิดอย่างไรกับการเอาศพคนทำผิดไปประกอบพิธีเยี่ยงวีรบุรุษ โดยมีคนหนุ่มสาวและเด็กๆ จำนวนมากมาร่วมร้องตะโกนคำที่สื่อถึง “เอกราชปัตตานี” ถือเป็นการปลุกระดมที่เข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่
ที่สำคัญ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าจะจัดการกับการทำพิธีศพที่บิดเบือนข้อเท็จจริง อีกทั้งก็รู้ว่าสอดรับกับแผนการของฝ่ายบีอาร์เอ็น ที่ต้องการใช้พิธีศพเติมไฟแค้นในใจ “มวลชน” ในพื้นที่ โดยเฉพาะต้องการให้ยิ่งเพิ่มความโกรธเคืองเจ้าหน้าที่รัฐ
รู้นะว่า “สำเหนียกถึงอันตราย” จากขบวนการแห่ศพที่เกิดขึ้น แต่ไม่เห็นว่า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าได้ดำเนินการแก้ปัญหาใดๆ ทำไมจึงไม่ให้ “ผู้นำศาสนา” รวมถึง “ฝ่ายปกครอง” ไปทำความเข้าใจ “ครอบครัวผู้ตาย” อย่างเป็นกระบวนการและเป็นระบบอย่างที่ควรจะเป็น
สถานการณ์ “ไฟใต้” ยิ่งนานวันการทำหน้าที่ของ “หน่วยงานความมั่นคง” ยิ่งถดถอย ส่งผลให้ “อำนาจรัฐ” ในพื้นที่ชายแดนใต้ยิ่งหดหาย จนเวลานี้ดูเหมือนจะไร้ความหมายไปแล้วในสายตาของคนในพื้นที่ เพราะสิ่งที่ดำเนินอยู่ทุกวี่วันเรากำลังปล่อยให้ “คนบางกลุ่ม” อยู่เหนือกฎหมายไทย ทั้งที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินไทย
หากยังปล่อยให้ขบวนแห่ศพคนร้ายที่ถูกวิสามัญฯ ได้กระทำละเมิดทั้งหลักการทางศาสนาและหลักการกฎหมายบ้านเมืองดำเนินไปเช่นนี้ เช่นนั้นแล้ว กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าจะเอาชนะบีอาร์เอ็นได้อย่างไร แล้วอย่างนี้ “มาตรการดับไฟใต้” จะทำให้ประชาชนได้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ได้อย่างไร
ถึงเวลาที่สังคมต้องจุดไฟจี้ก้น ผบ.ทบ.ให้ใช้ไม้เรียวหวดก้นบรรดาแม่ทัพนายกอง รวมถึงเสนาธิการในสังกัด กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า เพราะยิ่งปล่อยไว้ก็ยิ่ง “สิ้นเปลือง” ทั้งเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงไปแบบเปล่าประโยชน์
ส่วนจะให้ไปฟ้องนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม หรือกระทั่งนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เชื่อว่าคงจะไม่มีใครรู้และเข้าใจปัญหาบนแผ่นดินปลายด้านขวานพอเพียง แต่ถ้าการทำหน้าที่ของ “กองทัพ” ยังหน่อมแน้มแบบไม่เอาจริง เอากันแต่งบประมาณ วิกฤตไฟใต้ก็จะดำรงอยู่อย่างที่เห็นต่อไป
อ้อ!! มีเรื่องที่น่าแปลกใจเกิดขึ้นอีกแล้ว เชื่อหรือไม่ว่า “คนร้าย” ในคดีลอบวางระเบิดร้านสะดวกซื้อที่ ต.ดุซงญอ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส ที่ถูกจับมาผ่าน “กระบวนการซักถาม” ได้คำตอบว่า ไม่ใช่คนที่สวมเสื้อพะยี่ห้อ “บีอาร์เอ็น” แต่เป็นคนของขบวนการ “พูโล 5 จี” ที่มีนายคัสตูรี มาห์โกตา เป็นหัวหน้า
ถ้าเป็นความจริงตามคำให้การของคนร้ายที่ยอมรับว่ามีการก่อเหตุในพื้นที่ จ.นราธิวาส มาแล้ว 3 ครั้งช่วงปี 2567 นี้ และถ้าไม่ถูกจับเสียก่อนยังมีแผนวางระเบิดอีกหลายจุด เช่น สำนักงานอุตฯ โรงไฟฟ้า ปั๊มน้ำมัน ร้านสะดวกซื้อ เป็นต้น จึงนับเป็นโชคดีที่ไม่ต้องเสียหายมากกว่าที่เป็นอยู่
เป็นเรื่องราวที่น่าตกใจหรือไม่ที่ในวันนี้นอกจากบีอาร์เอ็น ขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้ายังเอาไม่อยู่แล้ว ยังมี “พูโล 5 จี” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนในอดีตถูกปลุกผีขึ้นมาผสมโรงร่วมป่วนชายแดนใต้อีกขบวนการหนึ่งด้วย
และเป็นที่รับรู้กันว่า นายคัสตูรี มาห์โกตา ต้องการให้นายฉัตรชัย บางชวด หัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขรัฐไทยส่ง “เทียบเชิญ” พูโล 5 จี ให้เข้าร่วมโต๊ะเจรจา จึงพยายามสร้างตัวตนจากปฏิบัติการก่อเหตุดังกล่าว เพราะรู้ดีว่าขบวนการไหนมีภาพว่ามี “กองกำลังติดอาวุธ” จะได้รับเชิญทันที
อีกหนึ่งข่าวสารที่มีการใช้ “โดรน” เปิดปฏิบัติการโจมตีฝ่ายเจ้าหน้าที่ที่ฮือฮาอยู่ในขณะนี้ นับเป็นข่าวจริงที่ขบวนการบีอาร์เอ็นได้พัฒนาขึ้น รวมถึงการใช้ “สไนเปอร์” และระเบิดแสวงเครื่องในรูปแบบแปลกใหม่
ยิ่งบีอาร์เอ็นรุกหนักทั้งทางการทหารและทางการเมืองมากเท่าไหร่ “ภัยแทรกซ้อน” จากธุรกิจผิดกฎหมายไม่ว่าจะเป็นขบวนการค้ายาเสพติด อาวุธยุธโทปกรณ์ รวมทั้งสินค้าผิดกฎหมายอย่างบุหรี่เถื่อนและเนื้อเถื่อนก็จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น เพราะสิ่งเหล่านั้นคือที่มารายได้ฝ่ายบีอาร์เอ็นด้วย
อันเป็นไปตามคำแนะนำขององค์กรฝรั่งหัวแดง “เจนีวาคอลล์” ที่ในอนาคต ทั้งบีอาร์เอ็นและพูโล 5 จีจะมีการจ่ายเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงให้แก่ “กองกำลังติดอาวุธ” และ “แนวร่วม” ในพื้นที่ตามหลักการความจริงที่ “กองทัพต้องเดินด้วยท้อง”
ทั้งหมดนี้คือ “พัฒนาการไฟใต้” จึงอยากถามว่า กองทัพและโดยเฉพาะ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าจะรับมืออย่างไร ช่วยตอบให้สังคมได้ชื่นใจบ้าง หรือหากไม่อยากตอบหลายเรื่อง ขอเพียงเรื่องเดียวก่อนก็ได้คือ จะแก้ปัญหาการแห่ศพคนร้ายที่ถูกวิสามัญฯ อย่างบิดเบือนดังที่บอกเล่าไว้แล้วได้อย่างไร
อย่าบอกนะว่า เมื่อขบวนการแบ่งแยกดินแดนมีพัฒนาการสร้างปัญหาให้ใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ กองทัพจึงมีความจำเป็นต้อง “ตั้งงบประมาณ” ให้มากขึ้นแบบสอดรับกันไปเรื่อยๆ เช่นกัน