สุราษฎร์ธานี -สยบดรามา แหม่มฝรั่งเศส เจ้าของวิลล่าฆ่าตัวตาย ตร.เกาะสมุย เผย หลักฐานในเบื้องต้นเชื่อฆ่าตัวเอง เตรียมส่งศพผ่าพิสูจน์หาสาเหตุที่แท้จริง ขณะที่ มรดกยังไม่สามารถแบ่งให้ “ป้าติ๋ม” ได้ทันที ต้องเป็นตามขั้นตอนข้อกฎหมาย
จากคดีที่แหม่มสาว นางแคทเทอร์ริน เดลาคอท อายุ 59 ปี สัญชาติฝรั่งเศส ได้ใช้อาวุธปืนฆ่าตัวตายเสียชีวิตบริเวณเตียงพักผ่อนริมสระน้ำในวิลล่าหรูของตัวเอง ตั้งอยู่บนเนินเขาบ้านแม่น้ำ เลขที่ 77/154 หมู่ 4 ตำบลแม่น้ำ อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และ ทางแหม่มผู้ตาย ได้เขียนพินัยกรรมยกสมบัติที่เป็นที่ดินและวิลล่าที่เกิดเหตุให้แม่บ้านคนสนิทที่รับใช้กันมาเกือบ 20 ปี ตามที่ได้นำเสนอข่าวมาก่อนหน้านี้
ล่าสุด วันนี้ พ.ต.อ.ไกรฤกษ์ งามสีอ่อน ผกก.สภ.เกาะสมุย ได้กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีดังกล่าวว่า ในส่วนของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เก็บรวบรวมพยานหลักฐาน และสอบปากคำในส่วนพยานในที่เกิดเหตุไปแล้วหลายปาก และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว รวมทั้งตรวจสอบกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุ มีการเก็บดีเอ็นเอ ในเบื้องต้นยืนยันได้ว่าแหม่เป็นคนฆ่าตัวตายเอง
โดยกล้องวงจรปิดสามารถจัดภาพที่เป็นหลักฐานได้ทั้งหมด และคืนเกิดเหตุ แหม่มอยู่บ้านเพียงคนเดียว ไม่มีใครเข้ามาในพื้นที่ แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์บงชี้ไปทางอื่น เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องรวบรวมพยายานหลักฐานเพิ่มเติม แต่จากหลักฐานต่างที่มีอยู่ในขณะนี้เชื่อว่าแหม่มฆ่าตัวตายเอง
ส่วนกรณีมีการนั่งพิมพ์จดหมายที่โต๊ะทำงานก่อนฆ่าตัวตายนั้น เรื่องนี้ พ.ต.อ.ไกรฤกษ์ กล่าวว่า ภาพที่เห็นแหม่มนั่งพิมพ์เอกสาร น่าจะเป็นจดหมายสั่งลา เพราะในส่วนของพินัยกรรมนั้นทำเสร็จสมบูรณ์ตั้งแต่วันที่ 26 เม.ย.แล้ว จึงมองว่าการฆ่าตัวตายในครั้งนี้มีการเตรียมการไว้แล้ว
ส่วนกรณีศพของผู้เสียชีวิต ขณะนี้ยังเก็บไว้ ที่โรงพยาบาลเกาะสมุย ซึ่งจะส่งไปผ่าพิสูจน์เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงอีกครั้ง ซึ่งขณะนี้ได้มีการแจ้งไปยังสถานทูต และญาติที่ฝรั่งเศสไปแล้ว
ส่วนกรณีที่ป้าติ๋ม จะได้รับมรดกตามที่มีการระบุไว้เลยหรือไม่นั้น พ.ต.อ.ไกรฤกษ์ กล่าวว่า เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับขั้นตอนของกฎหมาย ยังไม่สามารถที่จะแบ่งได้เลย เพราะเรื่องนี้จะต้องมีการร้องขอต่อศาล ต้องมีการแต่งตั้งผู้จัดการมรดก รวมทั้งมีผู้คัดค้านหรือไม่ เพราะทรัพย์สินของแหม่มเกี่ยวกับบริษัท การที่แหม่มมาทำธุรกิจจะต้องมีการจดทะเบียนบริษัท และการจัดตั้งบริษัทนั้น ต่างชาติสามารถถือหุ้นได้ 49% คนไทยถือหุ้น 51% เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ต้องว่ากันไปตามกระบวนการของกฎหมาย