คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้ โดย… ไชยยงค์ มณีพิลึก
อ่านสถานการณ์ไฟใต้ช่วงตั้งแต่ “พรรคเพื่อไทย” ตระบัดสัตย์จัดตั้งรัฐบาล แล้วมี “นายเศรษฐา ทวีสิน” นั่งนายกรัฐมนตรี ช่วงเวลา 7 เดือนมานี้พบว่า ภายใต้การกุมบังเหียนของ “รัฐบาลนิด 1” ความรุนแรงกลับพุ่งทะยาน “สูงปรี๊ด” ต่อเนื่อง และเจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะทหารกับตำรวจยิ่งตกเป็นเป้าหลักมากขึ้น
โดยเฉพาะห้วงเดือนรอมฎอนที่เพิ่งผ่านพ้นทั้ง “ทหารดำ” และ “ทหารเขียว” กลายเป็นเหยื่อแบบใบไม้ร่วง ไม่เว้นแม้แต่ทหารพรานหญิงที่ถูกยิงอุกอาจกลางตลาด ล่าสุด ทหารพรานชายถูกยิงขณะนั่งอ่านอัลกุรอานให้หลุมพ่อในกุโบร์ที่ อ.ธารโต จ.ยะลา
ยังคงเงียบกริบจากผู้นำศาสนา ไม่มีใครกล้าชี้ว่า ปฏิบัติการของอาร์เคเค หรือกองกำลังติดอาวุธบีอาร์เอ็น เป็นการทำบาป ผิดหลักศาสนาอิสลาม เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นกับผู้ทำหน้าที่รักษาความไม่สงบให้แก่ประเทศชาติและประชาชน
ไม่ใช่เพียงเท่านั้น ภาคประชาสังคม เอ็นจีโอ รวมถึงกลุ่มนักสิทธิมนุษยชนก็ไม่มีใครหืออือ ความตายของเจ้าหน้าที่กลายเป็นเรื่อง “เบาหวิว” ผิดกับการเสียชีวิตของอาร์เคเคที่จะถูก “บิดเบือน” ให้เป็น “นักรบพระเจ้า” แล้วแห่แหนกันออกมาปกป้อง โดยชี้ไปที่เจ้าหน้าที่ว่าทำละเมิดหรือทำเกินเหตุ
ก็ได้แต่แสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของบีอาร์เอ็น และต้องยอมรับความจริงว่าหลายครั้งเกิดจาก “ความประมาท” ไม่เชื่อคำเตือนที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าย้ำมาตลอด โดยเฉพาะกำลังพลที่ลากลับบ้านให้ระมัดระวังตัว แม้บ้านเกิดเมืองนอนของตนเองหรือญาติพี่น้องก็ใช่ว่าจะปลอดภัย
ถามว่าจะป้องกันเรื่องราวในลักษณะนี้ไม่ให้เกิดซ้ำได้อย่างไร ต้องตอบตามตรงว่า ยากมาก เพราะใน 3 จังหวัดคือ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส กับ 4 อำเภอของ จ.สงขลา ได้แก่ จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย ฝ่ายบีอาร์เอ็นมีการจัดตั้งโครงสร้างแบบที่เรียกว่า “รัฐซ้อนรัฐ” ไว้ทั้งหมดแล้ว
เชื่อหรือไม่ว่า เรามีผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอ รวมถึงผู้กำกับ ฝ่ายเขาก็มี แถมมีมากกว่าเราด้วยคือ “เปอร์มูดอ” และ “เปอร์มูดี” หรือกองกำลังเยาวชนปฏิวัติชายหญิง อีกทั้งฝ่ายเขายังมี “ผู้นำศาสนา” ที่ไม่เกี่ยวกับกรรมการอิสลาม หรือโต๊ะอิหม่าม
ที่สำคัญฝ่ายเขา “สายข่าว” เกาะติดพื้นที่ที่เข้าถึงหัวใจงานการข่าวแท้จริง แล้วคอยส่งข่าวความเคลื่อนไหวเจ้าหน้าที่รัฐให้กองกำลังรับไม้ต่ออย่างได้ผล ขณะที่ “คนของฝ่ายปกครอง” เราเกือบทั้งหมดมักทำตัวเป็น “จ่าเฉย” ที่ไม่กล้าส่งสัญญาณอะไร หรือแม้แค่ปริปากพูด
ถ้า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้ายังไม่เห็นความสำคัญของ “โครงสร้างรัฐซ้อนรัฐ” ที่บีอาร์เอ็นสร้างขึ้น ก็อย่าหวังจะได้เห็นความปลอดภัยของกำลังพลในพื้นที่ว่าจะรอดพ้นจากกับระเบิด หรือการซุ่มโจมตี หรือการประกบยิงด้วยอาวุธปืนไปได้
ทราบว่าช่วงสงกรานต์ ผบ.ทบ.นำคณะลงพื้นที่ชายแดนใต้ นอกจากภารกิจเยี่ยมปลอบขวัญกำลังพลแล้ว ยังประชุมร่วมกับแม่ทัพ นายกอง และเสนาธิการของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าด้วย โดยสั่งปรับแผนปฏิบัติการเพื่อเอาชนะฝ่ายบีอาร์เอ็นทั้งทางการทหารและการเมือง
นับเป็นเรื่องดีที่ผู้นำกองทัพให้ความสำคัญกับปัญหาไฟใต้ที่ “รากเหง้า” หรือมองเห็นความมีอยู่และเข้าใจ “ตัวตนฝ่ายบีอาร์เอ็น” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนเพียงหนึ่งเดียวที่มีกองกำลังติดอาวุธ และพร้อมลงมือปฏิบัติการได้อย่างมากมายศักยภาพ
วัดได้จากแค่ปี 2567 นี้ บีอาร์เอ็นมีกองกำลังติดอาวุธ “เพิ่มขึ้น” ไม่ต่ำว่า 4 กองร้อย โดยใน จ.นราธิวาสมีความเข้มแข็งและครอบครองพื้นที่ได้มากสุด ขณะที่ฝ่ายการเมืองมีหน้าใหม่กระจายเข้าสู่ในหน่วยต่างๆ ตามโครงสร้างรัฐซ้อนรัฐ แถมมีพัฒนาการใหม่ๆ ไว้รับมือในทั้งในรัฐสภาไทยและเวทีโลก
อีกทั้งบีอาร์เอ็นมีผลผลิตภาคประชาสังคมจำนวนไม่น้อยที่คอยขับเคลื่อนด้านประวัติศาสตร์และชาติพันธุ์ เช่น การจัดงาน “มลายูเดย์” แสดงอัตลักษณ์และบอกเล่าเรื่องการล่าอาณานิคม เพื่อหวังสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น
ถ้ากองทัพ และ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าต้องการดับไฟใต้จริงจังแบบ “ไม่เลี้ยงไข้” เพื่อหวังผลประโยชน์ โดยเฉพาะกับงบประมาณด้านการ “พูดคุยที่ไร้ประโยชน์” ก็ต้องพร้อมร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำให้บีอาร์เอ็นที่เป็น “องค์กรลับ” ได้ถูกเปิดเผย รวมทั้ง “กระชากหน้ากาก” ผู้นำให้สังคมรับรู้
เพราะวันนี้อย่าว่าแต่คนนอกพื้นที่ที่มองปัญหาไฟใต้แบบไม่เข้าใจเลย แม้แต่คนจังหวัดชายแดนภาคใต้ส่วนใหญ่ยังสับสนระหว่าง “บีอาร์เอ็น” กับ “อาร์เคเค” ว่าอันไหนคือชื่อเรียกขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรืออันไหนคือชื่อเรียกกองกำลังติดอาวุธ
ที่สำคัญคนส่วนใหญ่ยังไม่รู้ว่ามี “ชาติตะวันตก” มากมายเข้ามา “แทรกแซง” ปัญหาไฟใต้ โดยเฉพาะ 2 องค์กรอย่าง “คณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศ (ICRC) และ “เจนีวาคอลล์” ที่อาจจะชักนำให้ไทยเราสูญเสียดินแดนหรือบั่นทอนอำนาจการปกครองได้
ก็ได้แต่หวังว่านโยบายที่ ผบ.ทบ.ได้มอบไว้ให้แก่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าจะได้รับการปฏิบัติจริงเสียที และที่สำคัญต้องเป็นไปแบบมีทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่เอาชนะบีอาร์เอ็นได้ทั้งทางด้านการทหารและทางการเมืองในที่สุด
เช่น ที่ จ.นราธิวาส ต้องมีมาตรการควบคุมที่เข้มข้นจนลดจำนวนการก่อเหตุร้ายลงได้ หรือนับจากนี้ไปงานการข่าวและการแจ้งเตือนต้องป้องกันเหตุเกิดขึ้นแก่กำลังพลอย่างได้ผล รวมถึงการลดลงของความรุนแรงในทุกรูปแบบและให้ทุกพื้นที่ด้วย
ไฟใต้จะมอดดับได้มีแต่ต้องเปิดเผย “ตัวตนบีอาร์เอ็น” ให้สาธารณะได้รับรู้แบบล่อนจ้อน และชี้ให้โลกเข้าใจได้ว่า “การก่ออาชญากรรม” ที่มุ่งฆ่าคนและทำลายทรัพย์สินทุกรูปแบบเป็น “ความผิด” ทั้งกฎหมายและหลักศาสนา ที่สำคัญต้องทำลาย “โครงสร้างรัฐซ้อนรัฐ” ของบีอาร์เอ็นให้ได้ด้วย
ณ วันนี้ “กองทัพ” และ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” หมดเวลาที่จะพยายามปกปิดความจริงอีกต่อไป ต้องหยุดการปิดฟ้าด้วยฝ่ามือได้แล้ว เพราะไม่อย่างนั้นสังคมไทย โดยเฉพาะคนชายแดนใต้จะไม่มีโอกาสได้เห็น “แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์” กับเขาเลย