คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้ โดย…ไชยยงค์ มณีพิลึก
การวิสามัญฆาตกรรมกองกำลังติดอาวุธบีอาร์เอ็น 2 ศพที่เข้าไปเช่าบ้านที่ อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เพื่อวางแผนเตรียมก่อวินาศกรรมในช่วงเดือนรอมฎอน ไม่ได้เป็นชัยชนะของ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” เพราะหลังเกิดเหตุ เมื่อครอบครัวนำศพไปประกอบพิธีทางศาสนาก็ยังเป็นไปเหมือนทุกครั้งในรอบ 3-4 ปีที่ผ่านมา
นั่นคือมีการประโคมโหมโห่จากแนวร่วมบีอาร์เอ็นว่า ผู้ถูกวิสามัญฯ เป็น “นักรบพระเจ้า” เป็นผู้เสียสละที่พลีชีพเพื่อการป้องกันมาตุภูมิที่ถูกรุกรานจากศัตรู ซึ่งก็คือนั้นรัฐไทยในสายตาของบีอาร์เอ็น
ทั้งที่ผู้ถูกวิสามัญฯ มีหมายจับในข้อหาฆ่าคนตาย ก่อความไม่สงบ มีพฤติกรรมของอั้งยี่ซ่องโจร ถือเป็นภัยความมั่นคง แต่สังคมของมุสลิมในพื้นที่กลับไม่ยอมรับความจริง ซึ่งเท่ากับปฏิเสธการบังคับใช้กฎหมายของรัฐไทย
นั่นแสดงว่าคนจังหวัดชายแดนภาคใต้ส่วนหนึ่งได้ถูก “บ่มเพาะ” จากขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่มีความต่อเนื่องมา 64 ปีอย่างได้ผล โดยทำให้เชื่อว่ารัฐไทยคือผู้รุกรานและแย่งชิง การต่อสู้ของกองกำลังติดอาวุธและแนวร่วมบีอาร์เอ็นในเวลานี้จึงถือเป็นนักรบพระเจ้า
หลายปีมานี้จึงได้เห็นการทำพิธีศพของบรรดาผู้ที่ถูกวิสามัญฯ เป็นไปอย่างยิ่งใหญ่เยี่ยง “วีรบุรุษ” โดยเฉพาะมีคนหนุ่มสาวเป็นเรือนร้อยเรือนพัน ทั้งที่เป็นคนในหมู่บ้านและจากต่างถิ่น พวกเขาได้มาร่วมเคารพศพในแบบของนักรบพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง
ปรากฏการณ์นี้ไม่เคยมีการคัดค้านจากผู้รู้ทางศาสนา กระทั่งผู้นำศาสนาในพื้นที่ก็ไม่มีให้เห็น ทั้งที่ผู้ถูกวิสามัญฯ มีหมายจับและกำลังหลบหนีคดี เมื่อถูกเจ้าหน้าที่ปิดล้อมก็ไม่ยอมมอบตัว ทั้งที่รู้ว่าการทำพิธีศพแบบยกย่องผู้ตายว่าเป็น “ชาอีด” นั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือขัดกับหลักศาสนา
ที่ผ่านมา “จุฬาราชมนตรี” ทุกท่านได้เคยมีคำ “ฟัตวา” หรือชี้ขาดไว้แล้วว่า กองกำลังติดอาวุธหรือแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนที่ไม่ยอมมอบตัว ต่อสู้ขัดขืนจนถูกวิสามัญฯ ไม่ได้เป็น “ชาอีด” แต่อย่างใด เพราะคนเหล่านั้นถือเป็นผู้ต้องหาตามกฎหมายของประเทศไทย
และดินแดนชายแดนใต้ของไทยก็ไม่ใช่ “แผนดินดารุนฮารบี” หรือแผ่นดินที่มีความขัดแย้งทางศาสนา แม้จะมีเหตุการณ์ความไม่สงบก็ตาม ดังนั้น กองกำลังติดอาวุธและแนวร่วมบีอาร์เอ็นจึงไม่ใช่นักรบพระเจ้า การทำพิธีศพดังกล่าวจึงเป็นการ “บิดเบือน” ซึ่งก็สามารถเอาผิดได้เช่นกัน
ที่สำคัญมีกรณีเหตุวิสามัญฯ ล่าสุด มี “สื่อบางสำนัก” ได้สัมภาษณ์พ่อผู้ตายที่ได้กล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า ลูกชายของเขาได้ทำหน้าที่นักรบพระเจ้า ที่การตายถือเป็นชาอีดด้วย เรื่องนี้มีความสำคัญมากและกระทบต่อความมั่นคงของชาติ
การเสียชีวิตของกองกำลังติดอาวุธบีอาร์เอ็นถือเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ เพราะอย่างน้อยกว่าที่บีอาร์เอ็นจะสร้าง “นักรบฮารีเมา” หรือ “อาร์เคเค” หรือคอมมานโดได้ต้องใช้เวลา การเกิดกรณีวิสามัญฯ ขึ้นบ่อยๆ มีแต่จะทำให้กองกำลังติดอาวุธของบีอาร์เอ็นลดลง ทำให้ปฏิบัติการโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชนลดน้อยถอยลงไปด้วย
แต่ที่น่ากังวลมากเวลานี้คือ บีอาร์เอ็นฉวยเอาคนตายจากการถูกวิสามัญฯ ไปใช้ประโยชน์ โดยเฉพาะการสร้างเงื่อนไขโหมไฟใต้ให้คุโชนต่อไป ถือเป็นการลงทุนที่แทบไม่มีต้นทุน แต่กลับได้กำไรมหาศาล
ที่เขียนมาไม่ได้ต้องการบอกว่าเจ้าหน้าที่ผิด หรือวิสามัญฯ คนร้ายไม่ได้ เพราะถ้าเจ้าหน้าที่รัฐไม่ปิดล้อม ตรวจค้น จับกุม นั่นมีแต่จะทำให้บีอาร์เอ็นเหิมเกริมและก่อเหตุได้อย่างสบายใจ การที่กองกำลังบีอาร์เอ็นสู้ตายจึงเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่พ้น ทั้งที่การจับเป็นจะก่อเป็นประโยชน์มากกว่า
มีสิ่งที่ต้องขอถามไปยังรัฐบาลคือ จะยุติการสร้างนักรบพระเจ้าของฝ่ายบีอาร์เอ็นได้อย่างไร โดยเฉพาะอยากเห็น “ยุทธศาสตร์” การต่อสู้ทางการเมืองหรืองานมวลชนของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งเท่าที่ติดตามช่วง 3-4 ปีที่มีพิธีศพในลักษณะนี้เกิดขึ้นต่อเนื่อง กลับยังไม่เห็นอะไรที่จับต้องได้อย่างเป็นชิ้นเป็นอันเลย
แม่ทัพนายกองและผู้นำฝ่ายความมั่นคงมักให้สัมภาษณ์ตลอด 20 ปีของไฟใต้ระลอกใหม่ว่า ดับไฟใต้ต้องอาศัยความร่วมมือจาก “ผู้นำศาสนา” พร้อมๆ กับมีภาพหอบหิ้วสิ่งของไปมอบให้ตั้งแต่ประธานกรรมการอิสลามจนถึงอิหม่ามประจำมัสยิด แต่ทำไมเรื่องการทำพิธีศพแบบบิดเบือนหลักศาสนายังเกิดขึ้นได้ไม่สิ้นสุด
ถ้าวิธีหิ้วกระเช้าไปคารวะเพื่อขอความร่วมมือไม่ได้ผล การทำพิธีศพที่บิดเบือนไม่สามารถยุติได้ด้วยความร่วมมือจากบรรดาผู้นำศาสนา รวมถึงใช้หลักการรัฐศาสตร์เข้าแก้ไข กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ก็สมควรต้องเปลี่ยนนโยบายหรือหาทางแก้ลำเป็นการด่วน
เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว คำประกาศที่ว่าจะดับไฟใต้ให้มอดได้ในปี 2570 ก็คงไม่ต่างอะไรกับการผายลม
แท้จริงแล้วการสร้าง “นักรบพระเจ้า” ถือเป็นการทำสงครามมวลชนแบบยืดเยื้อของบีอาร์เอ็น เพื่อรอเวลาสุกงอมให้มวลชนลุกขึ้นแล้วทำตามแผน “กำหนดใจตนเอง” เพื่อขอ “ประชามติ” เปลี่ยนแปลงการปกครอง อันเป็นไปตามแผนที่มีองค์กรต่างชาติหนุนหลังอยู่นั่นเอง
หรือว่าสุดท้ายแล้วควรต้องใช้หลักการนิติศาสตร์ กล่าวคือให้มีการ “บังคับใช้กฎหมาย” เข้มข้น ซึ่งถ้าจำเป็น กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ก็ลงมือทำเถอะ เพราะสงครามยืดเยื้อที่กำหนดเกมโดยฝ่ายบีอาร์เอ็น นับเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อผืนแผ่นดินปลายด้ามขวานของไทยเรา