xs
xsm
sm
md
lg

หนังคนละม้วน! “หมวดยุทธ” ฟาดกลับ “น้องจ๋า” กล่าวหาหลอกมีสัมพันธ์-แบล็กเมล ทำเสียชื่อ แจ้งความกลับแล้ว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ศูนย์ข่าวภูเก็ต - “หมวดยุทธ” ฟาดกลับ “น้องจ๋า” ทำเสียชื่อเสียง แจ้งความแล้ว หลังร้องสื่อ ผู้บังคับบัญชาหลอกให้ตายใจ จนยอมมีสัมพันธ์ลึกซึ้ง ทุ่มทำธุรกิจสูญหลายแสน ตามรังครานเพราะตีตัวออกห่าง ขู่ปล่อยคลิปเปลือย ระบุไม่จริง

จากกรณี น.ส.จ๋า (นามสมมติ) อายุ 45 ปี ชาว จ.นครศรีธรรมราช นำเอกสารใบแจ้งความพร้อมหลักฐานภาพถ่ายการถูกทำร้ายร่างกายเข้าร้องทุกข์กับผู้สื่อข่าว และผู้บังคับบัญชา อ้างถูก ร.ต.ต.ยอดยุทธ ยอดมณีย์ หรือ "หมวดยุทธ" รอง สว.อก.ฝ่ายอำนวยการ บก.ปทส. ซึ่งมีภรรยาและจดทะเบียนสมรสแล้วเข้ามาตีสนิทใช้กลอุบายหลอกให้ตายใจจนยอมมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง และทุ่มเงินหลายแสนลงทุนทำธุรกิจหมอนใบชากับเรือเช่า ร่วมกันนานกว่า 1 ปี เมื่อผู้เสียหายทราบความเรื่องภรรยาได้ตีตัวออกห่าง กลับโดน หมวดยุทธ ตามรังควาน ทำร้ายร่างกาย ถูกทำอนาจารในลักษณะประจานให้คนอื่นเห็นในที่สาธารณะ มีการถ่ายคลิปขณะเปลือยกาย และถูกข่มขู่ว่าจะเผยแพร่ภาพถ่ายตอนมีเพศสัมพันธ์ให้บุคคลใกล้ชิดได้ดู ตามที่นำเสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุด ร.ต.ต.ยอดยุทธ ยอดมณีย์ หรือ "หมวดยุทธ" รอง สว.อก.ฝ่ายอำนวยการ บก.ปทส. ได้ชี้แจงกับผู้สื่อข่าวถึงกรณีที่เกิดขึ้น ว่า จริงๆ แล้วตนและ น.ส.จ๋า หรือสา ซึ่งเป็นแม่หม้ายมีลูกติด รู้จักกันหลังจากที่ตนลงไปปฏิบัติหน้าที่ตรวจโรงไม้แห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งขณะนั้น น.ส.จ๋า ซึ่งเป็นพนักงานขายรถแห่งหนึ่ง บอกว่าได้รับมอบหมายจากเจ้าของโรงหมายให้มาดูแล และได้แลกเบอร์โทรศัพท์ระหว่างตน และ น.ส.จ๋า โดยบอกว่าให้ตนโทร.ทุกวัน ซึ่งตนก็ติดต่อไปสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ตนไม่ได้รู้จัก น.ส.จ๋าผ่านเพื่อนตามที่ น.ส.จ๋า บอกสื่อ

ต่อมา ตนได้ไปทำงานในพื้นที่ จ.ตรัง และ ต้องค้างคืน จึงโทร.ไปหา น.ส.จ๋า เพื่อถามว่าอยู่ที่ไหน ซึ่ง น.ส.จ๋า บอกว่าอยู่ที่โรงพยาบาลในพื้นที่ จ.ตรัง เพราะพาญาติไปหาหมอ เลยถามว่าจะมาหาหรือไม่ ซึ่ง น.ส.จ๋า บอกว่ามา แต่ขอกลับไปส่งญาติก่อน หลังจากนั้น น.ส.จ๋า มาหาที่โรงแรม และชวนไปดื่มกินกัน และมาพักที่โรงแรมโดยนอนห้องเดียวกัน แต่ไม่ได้มีอะไรลึกซึ้ง คืนต่อมา น.ส.จ๋า ตามที่โรงแรม และนอนด้วยกันอีก หลังจากนั้นตนต้องไปทำงานต่อที่ภาคเหนือ เจ้านายของตนถาม น.ส.จ๋า ว่าไปด้วยกันไม่ น.ส.จ๋า ตอบตกลงไปด้วยกัน

ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนไม่ได้หลอกลวง ให้ตายใจแต่อย่างใด และกรณีที่บอกว่าตนมีภรรยาจดทะเบียนสมรสอยู่แล้ว เรื่องนี้ ตนกับภรรยาตกลงหย่ากันก่อหน้าที่จะรู้จัก น.ส.จ๋า มาเป็นปีแล้ว และเพิ่งหย่ากันเมื่อ เดือน ก.พ. ซึ่งตนรู้จักกับ น.ส.จ๋า เมื่อเดือน มี.ค.

ร.ต.ต.ยอดยุทธ ยอดมณีย์ หรือ หมวดยุทธ รอง สว.อก.ฝ่ายอำนวยการ บก.ปทส.
ส่วนเรื่องของการทำธุรกิจร่วมกันนั้น ในส่วนของเรื่องธุรกิจหมอนใบชา ตนไม่ได้ลงทุนทำร่วมกับ น.ส.จ๋า แต่เป็นการทำธุรกิจระหว่างน.ส.จ๋า กับ นายตำรวจท่านหนึ่งในพื้นที่กระบี่ และเพื่อนของนายตำรวจอีกคนซึ่งอยู่มาเลเซีย ตนทราบว่ามีการลงหุ้นกันคนละ 1 แสนบาท เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน ซึ่งตนมีหลักฐานการพูดคุยระหว่างของคนทั้ง 3 คน ว่า มีที่มาที่ไปอย่างไร

ขณะที่ธุรกิจเรือหางยาวท่องเที่ยวที่มีการกล่าวอ้างนั้น เดิมตนต้องการที่จะลงทุนให้ลูกสาวของตน โดยต่อเรือมา 6 แสนกว่าบาท แต่ น.ส.จ๋า ซึ่งอยู่กันกินดับตนฉันสามีภรรยา อยากลงทุนด้วย ตนก็ยอมให้ลูกสาว และ น.ส.จ๋า บริหารงานร่วมกัน แต่สุดท้ายปล่อยเรือทิ้งไว้เฉยๆ ปล่อยให้เรือเสียหาย ตนจึงนำเรือไปซ่อม และเอากลับมาให้ทั้ง 2 คนทำต่อ แต่ไปไม่รอด ซี่งช่วงนั้นมีปัญหากันทุกวัน ตนเลยจะเอามาทำเอง ขณะที่ น.ส.จ๋า บอกว่าจะถอนหุ้นเรื่องเรือ ตนบอกให้คิดมาเท่าไหร่ ตอนนั้นคิดมาว่า 279,000 บาท ซึ่งตนตกลง แต่บอกจะผ่อนก็จบกันไป แต่เรื่องไม่จบ เมื่อตนได้รับการประสานจากนายตำรวจบอกว่า น.ส.จ๋า จะขายเรือ มีการพูดคุยกันตกลงขายกันที่ 3 แสนกว่า และแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ตน และ น.ส.จ๋า ซึ่งก่อนจะโอนเงินได้แจ้งให้น.ส.จ๋ามาทำสัญญากันให้ชัดเจน แต่ น.ส.จ๋าไม่มา

ส่วนกรณีการทำร้ายร่างกายนั้นไม่เป็นความจริง ตนไม่เคยทำร้ายร่างกาย เรื่องดังกล่าวมีการกล่าวอ้างว่าตนโทร.ไปหาเพื่อขอเจรจราเรื่องค่าเรือ จริงๆ แล้ว ตนไม่ได้เป็นคนโทร. แต่ น.ส.จ๋า เป็นคนโทร.มาหาตน บอกว่าจะมาเอาถังไวน์ บอกให้มาเอา ซึ่งเขาก็มา และมานั่งอยู่ที่ร้านของตนก่อนที่จะกลับออกไป และในช่วงค่ำได้โทร.มาหาตนอีกครั้งโดยบอกให้ตนไปเลี้ยงข้าวต้ม ตนบอกว่าได้ แต่บอกว่าช้าหน่อย ซึ่งได้มีการโทร.ตามตนเป็นระยะๆ หลังจากนั้นกลับมาอีกครั้ง บอกให้ตนไปเลี้ยงข้าว ตอนแรกตนบอกว่าไม่ว่าง


ขณะที่เรื่องของการถ่ายคลิปเปลือย และเรื่องของการบังคับให้ไปเที่ยว หมวดยอด กล่าวว่า หลังจากที่ไปกินข้าวกันตามที่ น.ส.จ๋า ร้องขอ ไม่เป็นความจริง เรื่องของการไปเที่ยวมีพยานอยู่เต็มร้าน ว่า มีการขับรถกันไปคนละคัน ส่วนเรื่องโทรศัพท์ เมื่อไปถึงร้านตนสั่งเหล้ามาดื่ม เนื่องจากเหนื่อยจากการทำงาน จึงอยากให้ผ่อนคลาย และ น.ส.จ๋า ขอดื่มด้วย นั่งไปสักพัก น.ส.จ๋า นำโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป ตนจึงแย่งโทรศัพท์มาไว้ที่ตน

ส่วน น.ส.จ๋า ก็แย่งกุญแจรถเบนซ์ของตนไป จึงเกิดการยื้อยึดกัน ขณะที่คำบอกเล่าของเขาขัดกับความเป็นจริงที่บอกว่ามีการล็อกคอลงจากรถแล้วบังคับให้ขึ้นไปที่ร้าน ถามสักนิดว่าที่สาธารณะจะสามารถล็อกคอบังคับได้เหรอ ส่วนที่บอกว่าร้องให้คนช่วยแต่ไม่มีใครช่วย เพราะกลัวตนที่เป็นตำรวจ เรื่องนี้จะเป็นไปได้อย่างไร ถ้าตนทำจริงๆ ต้องมีคนเข้ามาช่วยเพราะในร้านดังกล่าวมีตำรวจอยู่เต็มไปหมด ระดับนายตำรวจใหญ่ก็อยู่

อย่างไรก็ตาม นั่งกินไปสักพัก น.ส.จ๋าก็เมา และเรียกนักร้องมารับทิป โดยบอกนักร้องว่ามีเงินแค่ร้อยเดียว ตนหันไปมอง เมื่อหันไปเห็นว่าหน้าอกของ น.ส.จ๋า โผล่ออกมาไม่เหมาะสม ในความที่เคยเป็นผัวเมียกันเลยถามว่า “แม่มาที่แบบนี้ไม่ใส่ยกทรงหรือ” เขาตอบกลับมาว่าจะอายทำไม ทำมาเป็นแสง โชว์บ้างจะเป็นอะไร ตนด้วยความคิดว่าผัวเมียเก่าก็หยอกล้อในฐานะเมียเก่าก็เลยเอามือไปปัด ขณะที่เรื่องของการถ่ายรูป เรื่องเปลือย เรื่องนี้เกิดจากมีคนโทร.เข้ามาที่ตน แต่ตนไม่อยากรับต่อหน้า น.ส.จ๋า จึงเดินไปรับที่ห้องน้ำ อยู่ๆ น.ส.จ๋า ก็วิ่งตามไปกระโดดขี่คอแย่งโทรศัพท์ ตนเลยเอามือจับคอเสื้อ และแย่งกันไปมา ดึงเสื้อกันไปมา หลังจากนั้นตนรู้สึกรำคาญคิดว่ากลับบ้านดีกว่า แต่เห็น นใส.จ๋า ยังไม่เดินกลับออกมาจึงเดินกลับไปตามที่ห้องน้ำ ได้ยินเสียงอาเจียน เคาะประตูเรียก ถามว่าเป็นอะไรก็ไม่เปิดประตู จึงปีนขึ้นไปดูด้วยความเป็นห่วง เห็นถอดเสื้อผ้าหมดและอ้วก สงสัย ว่าทำไปเพื่ออะไร จึงได้ถ่ายรูปเก็บไว้ และ บอกให้กลับบ้านแต่ยังไม่ยอมกลับ พร้อมตะโกนว่าช่วยด้วยๆ ตนรู้สึกอายมาก ยอมเดินออกมาและบอกการ์ดว่าตนจะกลับแล้ว ไม่ไหว แต่ก่อนออกจากห้องน้ำตนก็หยิบกางเกง น.ส.จ๋า ขึ้นมาเพื่อล้วงเอากุญแจรถ ส่วนโทรศัพท์ของ น.ส.จ๋า ตนก็นำกลับมาและนำไปฝากที่ร้านอาหารอีกแห่งหนึ่ง


เช้าอีกวัน นายตำรวจผู้ใหญ่คนหนึ่งโทร.มาหาตน ถามหาโทรศัพท์ของ น.ส.จ๋า ตนบอกว่าฝากไว้ที่ร้านอาหาร ไปเอาได้เลย ซึ่งเรื่องทั้งหมดมีแค่นี้ หลังจากนั้น น.ส.จ๋า ไปร้องเรียนและแจ้งความ รวมทั้งร้องสื่อถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

อย่างไรก็ตาม ที่ตนออกมาชี้แจงกับสื่อในครั้งนี้ เพื่อทำความเข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และตนได้แจ้งความไว้แล้วในข้อหาทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ซึ่งตนมีหลักฐานทุกอย่าง แต่การกระทำดังกล่าวทำให้ตนเสื่อมเสียชื่อเสียง เสื่อมเสียหน้าที่การงานในหน้าที่ราชการ และเรื่องของธุรกิจ ซึ่งทุกอย่างตนมีหลักฐานทั้งหมด ส่วนคนที่แชร์ออกไปหวังทำให้ตนเสื่อมเสียจะต้องมีการดำเนินการตามกฎหมาย


กำลังโหลดความคิดเห็น