นครศรีธรรมราช - นายอำเภอเมืองนครศรีธรรมราชเอาจริง สั่งสำรวจ “คนเชือน” วิกลจริตเดินว่อน จิตแพทย์เตือนอันตรายสารเสพติดถูกเติมความรุนแรงติดเร็วสมองพังหนัก
ปัญหาผู้ป่วยทางจิต ซ้ำยังไร้บ้านหรือไร้ครอบครัวคอยดูแล พบเห็นได้แทบทุกเส้นทางโดยเฉพาะในตัวเมืองนครศรีธรรมราช ล่าสุด นายจักรกฤษณ์ ฝั่งชลจิตร์ นายอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ได้ออกหนังสือไปยังฝ่ายท้องที่ ท้องถิ่น โดยมีหัวเรื่องว่า การสำรวจข้อมูลและจัดทำบัญชี “คนเชือน” ซึ่งเป็นภาษาถิ่น หมายความว่าคนฟั่นเฟือน วิกลจริต โดยมีศูนย์ปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ได้กำหนดแนวทางแก้ไขปัญหายาเสพติด และสวัสดิภาพของประชาชน ป้องกันอันตรายจากบุคคลที่มีพฤติกรรมทางจิตที่ไม่สมประกอบ จิตเวช หรือประสาท จึงให้แต่ละพื้นที่เร่งจัดทำบัญชีบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็น “คนเชือน” ภายในทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล แล้วส่งให้ฝ่ายความมั่นคงอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช ภายใน 22 กุมภาพันธ์ 2567
ที่ผ่านมา มีผู้ที่อยู่ในอาการป่วยจิตในหลายเส้นทางของเมืองนครศรีธรรมราช ส่วนใหญ่จะเดินเตร็ดเตร่ บ้างก่อเหตุอาละวาด เหตุการณ์ทำนองนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ถนนราชดำเนิน อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช เพียงเส้นเดียว รวมไปถึงซอยย่อยใกล้เคียงมีจำนวนผู้ที่อยู่ในอาการทางจิตไม่น้อยกว่า 20 ราย คนเหล่านี้ปรากฏตัวให้พบเห็นได้ทั่วไป กลายเป็นปัญหาที่สร้างความหวาดกลัว กังวล และไม่มั่นใจในความปลอดภัยของผู้ที่เดินทางบนท้องถนน บางครั้งมีการอาละวาดคุกคาม หรือเข้าข่มขู่ขอเงิน โดยที่ผู้ก่อเหตุมีลักษณะวิกลจริต ควบคุมตัวเองไม่ได้ หลายรายมักถือสิ่งของในมือที่กลายเป็นเครื่องมือทำร้ายได้ทุกนาที โดยส่วนใหญ่เป็นที่น่าสังเกตว่าน่าจะเกิดจากการเสพยาเสพติดจนเข้าสู่ภาวะวิกลจริต
ด้านนายแพทย์ทฏะวัฎร์ พิลึกภควัต นายแพทย์ หัวหน้ากลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติด โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า การป่วยวิกลจริตจะแยกออกเป็นกลุ่มที่มาจากสภาพครอบครัวเศรษฐกิจหรือสังคมแวดล้อม และอีกส่วนคือจากการใช้สารเสพติด โดยขณะนี้พบว่าสารเคมีที่อยู่ในยาเสพติดนั้นมีความเปลี่ยนแปลงไปมาก มีความรุนแรงมากขึ้นหลายเท่าตัว แม้เสพเพียงครั้งเดียวส่งผลให้ติดได้ทันทีและยังมีความรุนแรงในการทำลายสมองทำให้วิกลจริตได้ง่าย เช่น การระแวงว่าจะมีคนตามทำร้าย คลุ้มคลั่ง
อาละวาด เป็นต้น
ขณะที่นายขจรเกียรติ รักพาณิชมณี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ระบุว่า ปัญหานี้อยู่ระหว่างเร่งแก้ไข ส่วนหนึ่งยอมรับว่าไม่มีความชัดเจนในข้อกฎหมาย ซึ่งจังหวัดจะเร่งบูรณาการหน่วยงานทั้งฝ่ายปกครอง ตำรวจ สาธารณสุข พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เตรียมที่จะกำหนดพื้นที่หรือโซนที่จะนำคนเหล่านี้เข้าสู่กระบวนการรักษาแก้ไข อย่างไรก็ตาม ปัญหาอีกอย่างที่เจ้าหน้าที่ต้องเจอคือเมื่อเข้าดำเนินการแล้วเมื่อมีความรุนแรงเกิดขึ้นจากการคลุ้มคลั่ง ญาติหรือครอบครัวกลับแจ้งความเจ้าหน้าที่ผู้เข้าไปช่วยเหลือกลับตกเป็นจำเลยด้วยซ้ำ
