พัทลุง - กมธ.ที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนฯ ลงพื้นที่พัทลุงรับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับปัญหาของลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา ฉะหน่วยงานรัฐ-เอกชนมีถึง 20 องค์กร งบประมาณที่รัฐทุ่มลงมาให้ แต่กลับแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ด้าน "สส.ร่มธรรม" เสนอเปลี่ยนชื่อเป็น "ไทยลากูน" เพื่อความเป็นสากล และเข้าใจถึงบริบทระบบนิเวศ
วานนี้ (8 ม.ค.) ที่ จ.พัทลุง นายอภิชาติ ศิริสุนทร ประธานกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร พร้อมคณะรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและหน่วยงานที่ข้องเกี่ยวกับผลกระทบจากปัญหาที่เกิดขึ้นบริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลา และลุ่มน้ำทะเลสาบอื่นๆ ที่อยู่ในพื้นที่ จ.พัทลุง สงขลา และนครศรีธรรมราช หลังจากนายร่มธรรม ขำนุรักษ์ ส ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะการบุกรุกที่ดินของกลุ่มนายทุน ปัญหาการทำประมง ปัญหาการใช้พื้นที่เลี้ยงควายน้ำหรือควายปลัก ปัญหาการตื้นเขินนของน้ำ และการใช้พื้นที่ร่วมกันเพื่อการท่องเที่ยว
นายอภิชาติ กล่าวว่า ในเบื้องต้นคณะ กมธ.ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบพบว่า ทะเลสาบสงขลา เสื่อมโทรมลงตามลำดับ ยังแก้ปัญหาไม่ตรงจุด ทั้งที่มีการทุ่มงบประมาณจากภาครัฐลงไปดูแลและแก้ปัญหา และมีหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่รับผิดชอบดูแลถึง 20 องค์กร
ขณะที่นายร่มธรรม กล่าวว่า พื้นที่ลุ่มน้ำทะเลสาบสงขลานั้น ประชาชนชาว จ.พัทลุงเรียกว่า “ทะเลสาบพัทลุง” เป็นทะเลสาบแห่งเดียวที่มีทั้งน้ำจืด น้ำเค็ม และน้ำกร่อย จากความโดดเด่นดังกล่าว อยากจะเรียกชื่อเปลี่ยนแปรให้สู่ความเป็นสากล โดยในอนาตคข้างหน้าเป็นชื่อ “ไทยลากูน” เมื่อมีเปลี่ยนแปรแล้วหลายฝ่ายจะได้เข้าใจถึงบริบทระบบนิเวศ และความสำคัญของพื้นที่
นายร่มธรรม กล่าวว่า ลุ่มน้ำแห่งนี้มีความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ป่าพรุควนขี้เลี่ยน ป่าพรุควนเคร็ง รวมถึงสัตว์หายากในท้องทะเลสาบคือ ปลาโลมาอิรวดี สำหรับการใช้ของประชาชนรอบๆ ทะเลสาบนั้นได้ใช้พื้นที่ทำการเกษตร ทำการประมง และการปศุสัตว์ แต่ในปัจจุบันทรัพยากรธรรมชาติเสื่อมโทรมลงอย่างเห็นได้ชัด จากปัญหาการบุกรุกพื้นที่ ปัญหาการประมงผิดกฎหมาย พื้นที่ซับซ้อนระหว่างที่ดินของชาวบ้านกับที่ดินของรัฐ ปัญหาน้ำเสียที่ทิ้งจากชุมชนและโรงงานอุตสาหกรรมรอบๆทะเลสาบ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ดึงทรัพยากรธรรมขึ้นมาใช้ แต่กลับทิ้งของเสียลงไป
“ทะเลสาบสงขลา หรือที่เราอยากเรียกกันว่า ไทยลากูน มีศักยภาพมากมายที่จะพัฒนาโดยฉพาะการท่องเที่ยวแบบอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและเชิงนิเวศ ที่จะสร้างรายได้ให้แก่พี่น้องประชาชนแบบยั่นยืนต่อไป” นายร่มธรรม กล่าว
