เมื่อเร็วๆ นี้ “เที่ยวท่องล่องใต้” ได้รับเชิญจากสายการบินนกแอร์ และสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมทริปเดินทางไปศึกษาดูงาน ณ นครเฉิงตู สาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 16-21 ธันวาคม 2566 เพื่อประชาสัมพันธ์เส้นทางบินใหม่ของสายการบินนกแอร์ ในเส้นทางบินตรงภูเก็ตสู่ นครเฉิงตู และเส้นทางท่องเที่ยวในเมืองเฉิงตูและเมืองใกล้เคียง
โดยสายการบินนกแอร์ได้เปิดเส้นทางภูเก็ต-เฉิงตู ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2566 เป็นต้นมา ด้วยเครื่องบิน Boeing 737-800 จำนวน 189 ที่นั่ง และเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2566 สายการบินนกแอร์ได้จัดงานเปิดทางเส้นทางบินใหม่จากเมืองอัญมณีแห่งอันดามัน สู่มหานครเหนือกาลเวลา "ภูเก็ต-เฉิงตู" ณ ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต เพื่อเปิดเส้นทางบินปฐมฤกษ์จากท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต (HKT)-ท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตู เทียนฟู่ (TFU) สู่เมืองเฉิงตู ประเทศจีน
ทั้งนี้ เพื่อรองรับผู้โดยสารจากเมืองท่องเที่ยวหลักของไทยอย่างภูเก็ต บินตรงสู่เมืองเฉิงตู ของจีน อีกทั้งยังเป็นการขยายเครือข่ายเส้นทางการบินระหว่างไทยกับจีน เพื่อรองรับผู้โดยสารชาวไทย ชาวจีน ซึ่งเป็นไปตามมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว "ฟรีวีซ่า" ของรัฐบาลไทยและชาวต่างชาติที่ต้องการเดินทางท่องเที่ยวต่อไปยังประเทศจีน หรือเดินทางมาประเทศไทย
.
โดย "เมืองเฉิงตู" เป็นเมืองเอกที่ยิ่งใหญ่ของประเทศจีน อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางด้านการเมือง การทหาร การศึกษา การคมนาคม และเป็นหลักในอุตสาหกรรมแห่งภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน พร้อมยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอันเป็นเอกลักษณ์ เช่น สะพานอันชุน ถนนโบราณจินหลี่ ศูนย์อนุรักษ์หมีแพนด้า จนได้รับการขนามว่า "มหานครเหนือกาลเวลา"
เส้นทางบินภูเก็ต-เฉิงตู จะนำท่านผู้โดยสารจากท่าอากาศยานภูเก็ตมุ่งหน้าสู่ท่าอากาศยานนานาชาติเฉิงตู เทียนฟู่ รวมเวลาในการเดินทาง 4 ชั่วโมง โดยเที่ยวบินขาไป DD3140 ออกจากภูเก็ต (HKT) เวลา 21.00 น. ถึงเฉิงตู (เทียนฟู่) (TFU) เวลา 02.00 น.วันถัดไป (ตามเวลาท้องถิ่น) เที่ยวบินขากลับ DD3141 ออกจากเฉิงตู (เทียนฟู่) (TFU) เวลา 03.55 น. ถึงภูเก็ต (HKT) เวลา 06.55 น
โดยท่านผู้โดยสารสามารถสำรองที่นั่งเส้นทางภูเก็ตถึงเฉิงตู และเส้นทางอื่นๆ ของสายการบินนแอร์ได้ทาง www.nokair.com หรือแอปพลิเคชัน Nok Air หรือ CallCenter 1318 และผู้โดยสารสามารถเช็กอินออนไลน์ได้ตลอด 24 ชั่วโมงผ่านทางเว็บไซต์ Nokair.com หรือแอปพลิเคชัน Nok Air
ทริปนี้เราเดินทางทั้งหมด 38 คน มีทั้ง สมาชิกสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอันดามัน ภูเก็ต พังงา ระนอง กระบี่ ซึ่งนำโดย คุณวิรินทร์ตรา ปภากิจยศพัฒน์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต และเขต 11 ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยว ผู้สื่อข่าว และเจ้าหน้าที่สายการบินนกแอร์
หลังเช็กอินที่เคาน์เตอร์นกแอร์ บริเวณชั้น 3 อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ สนามบินภูเก็ต เจ้าหน้าที่ของสายการบินนกแอร์มาคอยอำนวยความสะดวก ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ไปรอขึ้นเครื่องที่ประตูหมายเลข 84 จนถึงเวลาเรียกขึ้นเครื่องและบินออกจากภูเก็ต ใช้เวลาเดินทางเกือบ 4 ชั่วโมง เครื่องบินพาเราบินลัดฟ้าสู่นครเฉิงตู ที่สนามบิน “เฉิงตู เทียนฟู่” ซึ่งเป็นสนามบินที่รองรับเที่ยวบินระหว่างประเทศเท่านั้น สิ่งแรกที่เราสัมผัสได้ คือ ความหนาว ทั้งอากาศจากด้านนอก เพราะเฉิงตูเริ่มเข้าสู่หน้าหนาวแล้ว และสนามบิน ณ เวลานั้นค่อนข้างเงียบ ไม่มีผู้โดยสารจากเที่ยวบินอื่นๆ มีเพียงไฟลต์บินเราเท่านั้น
การเดินทางครั้งนี้ กรุ๊ปเราใช้วีซ่ากรุ๊ปเพื่อการท่องเที่ยว เราต้องรอให้ทุกคนมาพร้อมกันและเข้าแถวเรียงตามรายชื่อในวีซ่า ตื่นเต้นนิดหน่อยในการตรวจวีซ่าเข้าเมือง แต่ทุกคนก็ผ่านไปได้ไม่มีปัญหาอะไร รับกระเป๋า มีไกด์ท้องถิ่นมารอรับ พาขึ้นรถไปโรงแรมที่พัก อากาศ ณ วันนั้นหนาวมาก ทุกคนในกรุ๊ปเตรียมพร้อมสำหรับอากาศหนาวมาจากภูเก็ตกันแล้ว ทั้งเสื้อกันหนาวที่ให้ความอบอุ่น รองเท้า หมวก ถุงมือ ผ้าพันคอ จัดเต็มกันทุกคน
วันแรกของการเดินทางท่องเที่ยวในจีน เป้าหมายของคณะเรา คือ อุทยานแห่งชาติจิ่วจ้ายโกว หรือ “หุบเขาจิ่วจ้ายโกว” ระยะทางจากโรงแรมที่พักไปอุทยานจิ๋วจ้ายโกว ประมาณ 500 กิโลเมตร ต้องใช้เวลาเดินทางประมาณ 9 ชั่วโมง ออกจากโรงแรมตั้งแต่เช้า เดินทางโดยรถบัส รถวิ่งไต่ความสูงของภูเขาไปเรื่อยๆ เลียบแม่น้ำ นั่งชมวิวข้างทางเพลินๆ จีนตัดถนนขึ้นเขาได้ดีมาก ไม่ได้รู้สึกว่ากำลังนั่งรถไต่ขึ้นที่สูง แวะจุดพักรถ เข้าห้องน้ำ ซึ่งที่จุดพักรถแต่ละที่จะมีของขายให้ได้ชอปกันด้วย แวะกินอาหารเที่ยงกัน
ผ่านไปครึ่งวัน เดินทางต่อ แวะชมวิว “ทะเลสาบเตี๋ยซี” ซึ่งเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ มองเห็นน้ำสีเขียวดั่งมรกตและวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ที่จุดนี้มีบริการถ่ายรูปกับ “จามรี” ด้วย ค่าถ่ายคนละ 10 หยวน หรือประมาณ 50 บาท มาแล้วต้องขึ้นขี่จามรีเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกสักหน่อย (ปล.ณ จุดนี้เราได้ทำความรู้จักกับห้องน้ำของจีนที่ไม่มีในบ้านเรา เป็นห้องน้ำแบบราง (ถ้าเลือกได้ไม่อยากเข้าเลย)
รถพาเราไล่ระดับความสูงไปเรื่อยๆ ไปอยู่ที่ระดับความสูง 2,500 เมตร สองข้างทางเริ่มมีหิมะปกคลุมบ้างแล้วแต่ยังไม่หนาและมีเป็นจุดๆ แต่อากาศหนาวจับใจจริงๆ และบางช่วงรู้สึกเหมือนจะเป็นโรคแพ้ที่ราบสูง (ไกด์ได้แจ้งอาการและแนะนำให้รับประทานยาสำหรับป้องกันโรคแพ้ที่สูง เราเองเพิ่งรู้จักโรคนี้ครั้งแรก
เท่าที่จำได้ไกด์บอกว่าที่สูงอากาศจะเบาบาง ทำให้ออกซิเจนในเลือดน้อย ทำให้รู้สึกหายใจลำบาก บางคนจะปวดหัว อาเจียน ซึ่งอาการแล้วแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน จนไปถึงโรงแรมที่พัก โรงแรมสะดวกสบาย มีฮีตเตอร์และที่นอนไฟฟ้าให้ความอบอุ่น ไกด์แนะนำไม่ต้องอาบน้ำทั้งเข้าและเย็นเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น และให้นำน้ำใส่แก้วมาวางไว้ข้างที่นอนเพื่อไม่ให้คอแห้งและเจ็บคอเมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า เพราะอากาศภายในห้องจะแห้งจากการที่เราเปิดฮีตเตอร์นั่นเอง
เช้าวันที่ 2 ในจีน เช้านี้ทุกคนจัดเต็มมาก เสื้อผ้ากันหนาว ถุงมือ หมวก ผ้าพันคอ เพราะที่ที่เราจะไปนั้น คือ “อุทยานแห่งชาติจิ่วจ้ายโกว” อุณหภูมิวันที่เราไปติดลบ 8 องศา เพื่อไปชมความงดงามและความมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติบรรจงสร้าง รถของอุทยานมารับที่โรงแรม บนรถไม่หนาวเลย เพราะเปิดฮีตเตอร์ อากาศอุ่นกำลังดี
เมื่อเราได้เห็นและได้สัมผัสธรรมชาติของที่นี่ถือว่าคุ้มค่ากับการนั่งรถมาหนึ่งวันเต็มๆ สวยจนไม่รู้จะบรรยายออกมาอย่างไร สวยและว้าว ทุกจุด ทุกมุม ไม่ว่าจะมองไปมุมไหนเหมือนสวรรค์บนดิน บางจุดสวยเหมือนภาพวาด และบางจุดเริ่มมีหิมะเกาะบ้างแล้ว
แม้จะหนาวแค่ไหนทุกคนก็มีความสุขกับความสวยงามของธรรมชาติ ทำให้ลืมความหนาวไปได้ คณะเรามีเวลาในการดื่มด่ำความงดงามของธรรมชาติหนึ่งวันเต็มๆ เที่ยวได้แค่จุดไฮไลต์เท่านั้น ถ้าจะเที่ยวให้ครบทุกจุด ไกด์บอกว่าต้องใช้เวลาประมาณ 14-15 วัน จากจุดท่องเที่ยวทั้งหมด 144 จุด แม้อากาศจะหนาวแค่ไหนแต่ทุกคนก็มีความสุข
สำหรับจุดไฮไลต์ที่เราได้ไปชื่นชมในวันนั้น เช่น ทะเลสาบยาว น้ำตกและทะเลสาบแพนด้า ทะเลสาบนกยูง ทะเลสาบห้าสี ซึ่งทะเลสาบแต่ละแห่งนั้นสวยงามมาก น้ำเป็นสีเขียวมรกต ใส อยู่ท่ามกลางขุนเขา น้ำตกธารไข่มุก หมู่บ้านชาวทิเบต โดยเฉพาะน้ำตกไข่มุกและทะเลสาบห้าสี สวยมาก สวยแบบตรึงตาตรึงใจ สวยจนไม่อยากจะละสายตาไปไหน
อุทานแห่งชาติจิ่วจ่ายโกว หรือหุบเขาจิ๋วจ้ายโกว อยู่บนที่สูงจากระดับน้ำทะเล 2,500 เมตร ครอบคลุมพื้นที่กว่า 720 ตารางกิโลเมตร ชื่อจิ๋วจ้ายโกว เป็นคำภาษาจีนที่แปลว่า “ธารน้ำเก้าหมู่บ้าน” เพราะในอดีตนั้นมีหมู่บ้านชาวทิเบตทั้ง 9 หมู่บ้านอยู่ริมธารน้ำเหล่านี้ และเนื่องจากชาวทิเบตมีความศรัทธาในภูเขาและสายน้ำ จึงมีความเชื่อว่าจิ๋วจ้ายโกว เป็นดินแดนแห่งขุนเขาและธารน้ำศักดิ์สิทธิ์ มีแม่น้ำลำธาร ทะเลสาบใหญ่น้อยถึง 144 แห่ง และน้ำตกขนาดใหญ่ น้ำในทะเลสาบสีเขียวมรกตใสสะอาด สะท้อนภาพภูเขาท้องฟ้าสีคราม ป่าดงดิบอันอุดมสมบูรณ์ ทุกสถานที่ล้วนเป็นความงามที่ธรรมชาติได้บรรจงสร้างไว้ได้ดั่งภาพวาด จึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ โดยองค์กร UNESCO ในปี 1992
ออกจากอุทยานแห่งชาติจิ๋วจ้ายโกว เรามุ่งหน้าสู่ “เมืองซวนจู่ซื่อ” ซึ่งเป็นตำบลเล็กๆ อยู่บนที่สูงจากระดับน้ำทะเล 3,000 เมตร ค้างคืนที่เมืองนี้ เพื่อรุ่งเช้าจะได้เดินทางไปเมืองตูเจี่ยงเยี่ยน ไปหาหมีแพนด้ากัน ก่อนไปหาหมีแพนด้า ระหว่างทางแวะถ่ายรูปที่เมือง “โบราณซงพาน” เมืองชายแดนจีน-ทิเบต ก่อนมุ่งหน้าสู่เมืองตูเจี่ยงเยี่ยน ไปชมความน่ารักของหมีแพนด้า ที่ “ศูนย์อนุรักษ์หมีแพนด้าตูเจี่ยงเยี่ยน” ระหว่างทางคณะเราได้แวะปั๊มน้ำมัน และอุดหนุนแอปเปิลของพ่อค้าชาวจีนที่นำมาวางขายกันด้วย แอปเปิลที่เราซื้อวันนั้นเป็นพันธุ์น้ำผึ้ง หวาน กรอบ อร่อยมากๆ เพราะสองข้างทางที่เรานั่งรถผ่านมามีสวนแอปเปิลเต็มไปหมด
ที่ “ศูนย์อนุรักษ์หมีแพนด้าตูเจี่ยงเยี่ยน” มีหมีแพนด้ากว่า 20 ตัว การท่องเที่ยวของที่นี่ นักท่องเที่ยวจะต้องนั่งรถของศูนย์มายังจุดที่เป็นที่อยู่ของหมีแพนด้า ที่ทำไว้เหมือนเป็นบ้านของหมีแพนด้า มีบริเวณกว้างขวาง หมีแพนด้าจะใช้ชีวิตอยู่ในบริเวณที่กำหนดไว้ กินๆ นอนๆ และเดินไปเดินมา เราสามารถเดินดูได้ตามจุดต่างๆ มีทั้งแพนด้าขาวดำ และ แพนด้าแดง วันที่คณะเราไปมีแพนด้าออกมาโชว์กินต้นไผ่ 2 ตัว น่ารักมากๆ สร้างความสุข ยิ้มกันแก้มปริกับความน่ารักของแพนด้า นักท่องเที่ยวอย่างเรานานๆ ถึงจะได้เห็นหมีแพนด้าตัวเป็นๆ เก็บภาพประทับใจกันรัวๆ
วันสุดท้าย หรือวันที่ 4 ที่ท่องเที่ยวในจีน เราเดินทางไป "เมืองเล่อซาน" ไปล่องเรือไปสักการะหลวงพ่อโต ซึ่งเป็นพระพุทธรูปแกะสลักจากหินภูเขาองค์ใหญ่ เมื่อเรือล่องไปถึงหน้าหลวงพ่อโต เรือจะหยุดให้ทุกคนได้ไหว้ขอพร อธิษฐานขอสิ่งที่ต้องการแล้ว เรือจะนำทุกคนกลับ ใช้เวลาไปกลับประมาณ 40 นาที แต่ถ้าไม่ล่องเรือจะเดินขึ้นไปตามทางเดินก็ได้ แต่ต้องใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง
เดินทางต่อสู่เมืองเฉิงตู เมืองหลวงของมณฑลเฉสวน ก็เหมือนเมืองใหญ่ทั่วไปที่มีตึกสูง ผู้คนเดินกันขวักไขว่ การจราจรหนาแน่นกว่าเมืองต่างๆ ที่เราไปมา คณะเราแยกออกเป็น 2 กรุ๊ป คือไปไหว้พระที่ “วัดต้าฉือ” ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่อายุกว่า 1,600 ปี ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเฉิงตู ภายในวัดกว้างขวาง สงบ หรือจะไปชอปปิ้ง
มื้อสุดท้ายในจีน ทริปนี้พิเศษกว่ามื้ออื่นๆ ที่ผ่านมา เป็น สุกี้เฉสวน ต้นตำรับน้ำซุปหม่าล่าเข้มข้น เผ็ด ชาลิ้น ถึงใจ ถูกใจคนเลิฟหม่าล่าแหละ แต่น้ำจิ้มนี้สิไม่ถนัดเอาเสียเลย ต้องผสมเอง ผสมอะไรลงไปก็ไม่ถูกปาก นึกในใจถ้าได้น้ำจิ้มสุกี้ หรือชาบูแบบบ้านเราล่ะก็ฟินสุดๆ ไปเลย
ปิดท้ายทริปนี้ด้วยการชอปปิ้งบนถนนคนเดินชุนซี และถ่ายรูปเช็กอินกับหมีแพนด้ายักษ์ที่แขวนอยู่บนอาคาร IFS ใจกลางนครเฉิงตู และเดินทางสู่สนามบินเฉิงตู เทียนฟู สายการบินนกแอร์พาทุกคนเดินทางกลับภูเก็ตโดยสวัสดิภาพ
การเดินทางท่องเที่ยวเหมืองจีนในช่วงหน้าหนาว เราต้องเตรียมพร้อมในเรื่องของเสื้อผ้า ที่ให้ความอบอุ่นกับร่างกาย หมวกกันหนาว ผ้าพันคอ ถุงมือ เพราะอากาศที่นั่นจะหนาวมาก ช่วงที่เราไปประมาณกลางเดือนธันวาคม อุณหภูมิติดลบทุกวัน ยิ่งถ้าไปท่องเที่ยวแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่บนที่สูงด้วยแล้ว เรื่องของเสื้อผ้ากันหนาวจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
ส่วนคนที่ไม่ถนัดอาหารจีน พกน้ำพริกหรืออะไรที่แซ่บๆ ไปก็ดีน่ะ เพราะอาหารจีนที่นั่น รสชาติจะออกเค็ม มัน เลี่ยนเป็นหลัก แต่ถ้าคนที่ชื่นชอบหม่าล่ารับรองฟินแน่ๆ อาหารเสฉวนมีส่วนผสมของหม่าล่าในหลายเมนู (หม่าล่าทุกมื้อ) และยิ่งสุกี้หม่าล่าด้วยแล้ว น้ำซุปเผ็ด ชาลิ้น ได้ใจ พกน้ำจิ้มสุกี้แบบบ้านเราไปก็ดีนะ น้ำจิ้มของเขาไม่ค่อยจะถูกปากสักเท่าไหร่ เป็นแบบให้ผสมเอง ไม่เหมือนตามร้านสุกี้และชาบูบ้านเรา ผสมไม่ถูกปากสักถ้วยเลย
ล็อกวันเดินทางให้แม่น...จองตั๋วเครื่องบินนกแอร์บินตรงจากภูเก็ต สู่นครเฉิงตู ไปเปิดประสบการณ์การท่องเที่ยวในเมืองจีน สัมผัสความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่สวยงาม วัฒนธรรมและอาหารการกิน