ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - รปภ.ห้างดังเมืองหาดใหญ่ฉายเดี่ยวชิงทอง 5 บาท มูลค่าเกือบ 2 แสนบาท ในร้านทองภายในห้างโลตัส อ.จะนะ จ.สงขลา ทำทีขอลองสวมคอ พอพนักงานเผลอก็วิ่งหนีออกจากร้าน แต่ รปภ.ห้าง ตำรวจจะนะร่วมกันรวบได้ทันควัน สารภาพต้องการเอาทองไปขายหาเงินใช้จ่าย ไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า
วานนี้ (7 พ.ย.) เมื่อเวลา 18.14 น. เกิดเหตุคนร้ายชิงทองภายในร้านทองห้างทองเยาวราชกรุงเทพ ภายในห้างโลตัสจะนะ อ.จะนะ จ.สงขลา ได้สร้อยคอทองคำน้ำหนัก 5 บาทไป 1 เส้น มูลค่า 171,665 บาท หลังเกิดเหตุ พ.ต.อ.ศราวุธ เจี้ยงเต็ม รักษาราชการแทนผู้กำกับการ สภ.จะนะ พร้อมตำรวจสืบสวนสอบสวน และฝ่ายปราบปราม สภ.จะนะ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุการณ์ทันที
เหตุการณ์นี้โชคไม่เข้าข้าง เพราะขณะวิ่งหนีออกจากห้าง พนักงานรักษาความปลอดภัยและตำรวจ สภ.จะนะ ที่ดูแลความปลอดภัยอยู่บริเวณห้าง ไล่ติดตามจับกุมตัวเอาไว้ได้หลังจากที่วิ่งออกจากร้านทองมาได้ราว 200 เมตร เพื่อไปขึ้นรถเก๋งที่จอดไว้ริมถนนหน้าห้าง พร้อมกับสร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท ซึ่งยังสวมอยู่ที่คอ ทราบชื่อคือ นายมะดารี มาเสาะ อายุ 34 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ ต.ทุ่งพอ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
จากการตรวจสอบภาพกล้องวงจรปิดพบว่าขณะก่อเหตุ นายมะดารี ซึ่งสวมหมวกและแว่นตาดำอำพรางใบหน้า ทำทีเข้ามาขอซื้อสร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท 1 เส้นจากพนักงานของร้าน โดยขอลองนำสร้อยมาสวมไว้ที่คอ และทำทีพูดคุยสอบถามราคากับพนักงานและหยิบเอาโทรศัพท์มือถืออยู่พักใหญ่ ซึ่งตอนนั้นมีลูกค้าคนอื่นมาเลือกซื้อทองอยู่ภายในร้านด้วย พอได้จังหวะขณะที่พนักงานเผลอ นายมะดารี วิ่งออกจากร้านพร้อมสร้อยคอทองคำหนัก 5 บาทที่สวมอยู่ที่คอ
แต่ รปภ. และตำรวจที่อยู่ในห้างวิ่งตามจับได้ขณะวิ่งไปที่รถเก๋งซึ่งจอดไว้ริมถนนนอกห้างโดยพบว่าใช้วิธีนำสก๊อตเทปมาปิดทับป้ายทะเบียนจากหมายเลข 5 เป็นเลข 6 จากป้าย ขค 5158 สงขลา เป็นทะเลข 6168 เพื่อป้องกันการตรวจสอบผู้ครอบครองรถขณะขับหลบหนี
นายมะดารี ให้การว่า มูลเหตุจูงใจการบุกเดี่ยวชิงทองครั้งนี้เพราะเงินไม่พอใช้ ต้องการนำทองไปขายเพื่อหาเงินมาใช้จ่าย โดยอ้างว่า หลังจากที่เลิกงาน รปภ.ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในเมืองหาดใหญ่ ก็ขับรถจักรยานยนต์มาชิงทองภายในห้างโลตัสสาขาจะนะทันที โดยที่ไม่ได้วางแผนเตรียมการอะไรไว้ล่วงหน้า
ตำรวจจึงควบคุมตัวไปสอบสวนเพิ่มเติมที่ สภ.จะนะ และแจ้งข้อหาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป