ตรัง - ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้อง 5 จำเลย คดีสังหารโหดเสี่ยเจ้าของอู่ซ่อมรถ อ.รัษฎา จ.ตรัง ขณะที่ 2 ลูกสาวของผู้ตายร่ำไห้เพราะหมดศรัทธากระบวนการยุติธรรมไทยก่อนถึงมือศาล ที่คนผิดไม่ได้รับโทษ
วันนี้ (17 ต.ค.) ที่ศาลจังหวัดตรัง ศาลอุทธรณ์ได้ออกนั่งบัลลังก์พิพากษาคดี นายจิราวุธ หรือโกยัง ศรีวิรัตน์ อายุ 55 ปี พร้อมพวกรวม 5 คน ซึ่งตกเป็นจำเลยร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และพกพาอาวุธปืนไปในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยตกเป็นผู้ต้องหาร่วมกันใช้อาวุธปืนสงครามยิงถล่ม นายธวัชชัย กลับขัน อายุ 53 ปี เสี่ยเจ้าของอู่ซ่อมรถในพื้นที่ อ.รัษฎา จ.ตรัง จนเป็นเหตุให้ นายธวัชชัย เสียชีวิตคารถ ขณะที่ภรรยาและลูกน้องได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยสาเหตุเกิดจากปัญหาขัดแย้งส่วนตัวกับ นายจิราวุธ ซึ่งเป็นเพื่อนรักกันมาก่อน เหตุเกิดที่หน้าบ้านพักซึ่งเปิดเป็นอู่ซ่อมรถ เลขที่ 152 หมู่ 1 ต.คลองปาง อ.รัษฎา จ.ตรัง เมื่อคืนวันที่ 17 ธันวาคม 2562
โดยหลังเกิดเหตุ ศาลจังหวัดตรัง ได้ออกหมายจับผู้ต้องหารวม 8 คน แต่จับกุมได้จำนวน 7 คน ส่วนอีก 1 คน หลบหนีไปได้ แต่อัยการพิจารณาสั่งฟ้องทั้งหมดรวม 5 คน โดยก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2565 ศาลชั้นต้น ได้พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด และปรากฏว่า อัยการจังหวัดมีมติไม่อุทธรณ์ ทำให้ทางครอบครัวต้องยื่นอุทธรณ์ด้วยตนเอง และในวันนี้เป็นวันที่ศาลอุทธรณ์นัดอ่านคำพิพากษา โดยทางครอบครัวของผู้ตาย มีลูกสาวทั้ง 2 คน และลูกเขย เดินทางมารับฟังคำพิพากษา ขณะที่จำเลยทั้ง 5 คน ก็เดินทางมารับฟังคำพิพากษาด้วยตนเองเช่นกัน
น.ส.อัมพวรรณ กลับขัน และ น.ส.ศิริลักษณ์ กลับขัน ซึ่งเป็นลูกสาวของผู้เสียชีวิตบอกว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ยกฟ้องจำเลยทั้ง 5 คน โดยระบุว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีร้ายแรง มีอัตราโทษสูงถึงขั้นประหารชีวิต จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ แต่หลักฐานที่ยื่นฟ้องต่อศาลมีไม่เพียงพอ ไม่มีน้ำหนักเอาผิดจำเลย หลักฐานที่เป็นภาพถ่ายที่ยื่นเข้าไปมีการปรับแก้ หลักฐานที่ได้มีแต่สัญญาณโทรศัพท์มือถือ ซึ่งไม่มีน้ำหนัก คำตัดสินจึงออกมาในรูปแบบนี้ ส่วนตัวเชื่อมั่นและเคารพในคำพิพากษาของศาล เพราะต้องดูพยานหลักฐานที่ส่งเข้าไป
แต่ปัญหาของคดีเชื่อว่าเกิดในขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมไทยก่อนถึงมือศาล ทั้งพยานหลักฐาน ซึ่งหลักฐานที่ถึงมือศาลมีเพียงหลักฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยี การใช้โทรศัพท์ ส่วนภาพวงจรปิดที่ตามจุดต่างๆ ทางทนายจำเลยสามารถแก้ต่างในจุดนั้นๆ ได้ ระบุไม่มีพยานในการได้ยินในสิ่งที่จำเลยพูดคุยโทรศัพท์ นอกจากนั้น ทางครอบครัวของผู้ตายยังเคยได้คุยกับตำรวจกองปราบที่ทำคดี โดยทางตำรวจกองปราบให้ข้อมูลว่า ก่อนหน้านี้มีหลักฐานซึ่งเป็นภาพถ่ายของลูกสาวจำเลยที่ถ่ายรูปคู่กับเบอร์โทรศัพท์ของจำเลยได้หายไป เมื่อทางทนายได้ทำเอกสารใหม่เหมือนเอกสารเดิมยื่นให้ศาล ปรากฏว่าศาลไม่รับรองให้แล้ว เนื่องจากไม่มีในสำนวน ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีในสำนวน
โดย 2 ลูกสาวของผู้ตายบอกอีกว่า ตนเองเคยเห็นในคดีอื่นๆ มาหลายคดี แต่พอได้มาเจอกับคดีตนเองทำให้รู้ว่านี่คือประเทศไทย ความยุติธรรมไม่มีจริง ส่วนตัวเคารพในคำพิพากษาของศาลว่า พิจารณาไปตามพยานหลักฐานที่มีอยู่ แต่ว่ากระบวนการก่อนที่จะถึงศาล ยังไม่ยุติธรรมเท่าที่ควร หลังจากนี้จะทำอย่างไรต่อไปหรือจะยื่นฎีกาต่อหรือไม่ ต้องกลับไปปรึกษากันในครอบครัวก่อน แม้จะเชื่อว่ายื่นไปก็ไม่มีความหวังว่าจะชนะ เพราะขาดพยานหลักฐานเชื่อมโยง แต่อยากจะสู้ให้ถึงที่สุดเพื่อพ่อ ยอมรับว่าเสียใจ แต่ก็ได้ทำใจยอมรับสภาพมาจากบ้านแล้วว่า อาจจะออกมารูปแบบนี้อีก
“อยากจะบอกกับพ่อว่า เกิดมาเป็นลูกได้ทำหน้าที่เป็นครั้งสุดท้ายให้พ่อแล้ว สู้มากว่า 3 ปีแล้ว อยากให้พ่อได้รับความยุติธรรม พวกตนเคยพูดว่า คนตายไม่ได้ตายเอง ไม่ได้อยู่ๆ หยุดหายใจไปเอง แต่มีการฆาตกรรมกันเกิดขึ้น แต่คนผิดไม่ได้รับโทษ แล้วใครเป็นคนผิดทุกวันนี้ยังหาไม่ได้เลย พวกหนูเป็นลูกอยากให้พ่อได้รับความยุติธรรม หนูเป็นลูกก็อยากทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุด มาถึงตอนนี้พวกตนยังกังวลเรื่องความปลอดภัย เพราะไม่มีพ่อแล้วรู้สึกไม่ปลอดภัย พ่อเปรียบเสมือนหลังคาบ้าน แม่เปรียบเสมือนบ้าน พอไม่มีหลังคาคอยคุ้มหัวรู้สึกโหวงเหวง ไม่ปลอดภัย”