โดย.. ไชยยงค์ มณีพิลึก
หลังเหตุการณ์ฆ่า “สารวัตรทางหลวง” ในบ้านพักของ “กำนันนก” ที่ จ.นครปฐม ซึ่งเป็นข่าวเกรียวกราวอยู่หลายวัน ได้ทำให้คำว่า “ผู้มีอิทธิพล” ถูกนำขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง และมีการรับลูกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย “อนุทิน ชาญวีรกูล” สั่งการให้ขึ้นบัญชีดำผู้มีอิทธิพลทั้งประเทศใน 16 ข้อ ซึ่งมีตั้งแต่นายทุนปล่อยเงินกู้ ลักลอบขนสินค้าหนีภาษี เปิดบ่อนการพนัน ค้ามนุษย์ ลักลอบค้าประเวณี จนถึงผู้มีอิทธิพลในการค้ายาเสพติด
สิ่งที่น่าสนใจ คือ ในภาคใต้ตั้งแต่ จ.ชุมพรลงมาถึง จ.นราธิวาส ซึ่งมีการลักลอบขนสินค้าหนีภาษีกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน มีบ่อนการพนันในเมืองใหญ่ๆ ที่เป็นเมืองที่มีเศรษฐกิจดี ที่ควบคู่ไปกับการค้าประเวณี และเมืองชายแดนที่มีการค้ามนุษย์ ซึ่งมีผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง ได้มีการขึ้นทะเบียนหรือไม่ เพราะจากเบาะแสที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่ในท้องถิ่น พบว่า รายชื่อผู้มีอิทธิพลตัวจริง “หลุดรอด” จากการขึ้นบัญชี ที่เหมือนกับหลายครั้งที่ผ่านมา
เช่น ขบวนการค้าวัวเถื่อนใน จ.นราธิวาส ที่เป็นเครือข่ายของนักการเมือง เชื้อชาติปากีสถาน ขบวนการส่งออกพลุดอกไม้ไฟ ที่เป็นคนใกล้ชิดนักการเมือง หลุดรอดจากการขึ้นบัญชีผู้มีอิทธิพลรายใหญ่ ที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่นใน อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ไม่มีชื่อในบัญชีดำ
เจ้าของบ่อนการพนันรายใหญ่ ใน อ.สุไหงโก-ลก เช่น “โก ค.” และ “แบแซ” ขบวนการค้าประเวณี ที่นำเอาหญิงสาวชาวลาวเข้ามาทำมาหากินในสุไหงโก-ลก อยู่ในบัญชีดำหรือไม่ หรือที่ จ.ยะลา มี บ่อนการพนันประจำเมือง อย่างบ่อนของ “โก ป.” และพวกอีก 2 ราย ถ้าไม่ถูกขึ้นบัญชีดำ ก็ป่วยการที่จะทำให้การแก้ปัญหาผู้มีอิทธิพลได้ผล
โดยเฉพาะผู้มีอิทธิพลอีกกลุ่มที่เป็นตัวการทำลายเศรษฐกิจของประเทศ คือ “ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน ตั้งแต่น่านน้ำ จ.ชุมพร จนถึงน่านน้ำ จ.นราธิวาส ในทะเลอ่าวไทย เช่น โกเอก ท่าศาลา โกเอก ท่าฉาง ศักดิ์ ปากน้ำ โกชัย ขนอม บังดำ หัวเขา สงขลา
รวมถึงเสี่ยยุทธ มหาชัย เสี่ยโป้ง ปากน้ำสมุทรปราการ ที่อยู่นอกพื้นที่ภาคใต้ แต่เป็น “ตัวการใหญ่” ในขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนและ “กลุ่มทุนใหญ่” ที่นำเข้าน้ำมันแบบ “ทรานส์ซิสเส้นทาง” จากมาเลเซียเพื่อส่งออกไป สปป.ลาว โดยผ่านด่านศุลกากร อ.สะเดา จ.สงขลา ไป จ.บึงกาฬ แต่โดยข้อเท็จจริง น้ำมันที่ขอทรานส์ซิสเส้นทางกลับนำมาจำหน่ายภายในประเทศ เพราะ ณ วันนี้ สปป.ลาวไม่มีเงินที่จะซื้อน้ำมันเหล่านี้ เพราะลาวมีปัญหาทางเศรษฐกิจ
และใน จ.นราธิวาส จ.ปัตตานี ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน ที่เป็นผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น และเครือข่ายของกลุ่มมุสลิมปาทานถูกขึ้นบัญชีดำหรือไม่
หรือผู้ที่ค้าบุหรี่เถื่อนและบุหรี่ปลอมอย่าง เสี่ยหยอย จ่าเทพ เจ้าพ่อหวยออนไลน์อย่าง เสี่ยบอย ที่ จ.สงขลา หรือบังเหรก กะนุ้ย ยีหมัด นายทุนใหญ่เมืองชายแดน อ.สะเดา และ “เจ๊ฐา” ผู้นำเข้าสินค้าเถื่อนชื่อดัง ทางวังประจัน อ.ควนโดน จ.สตูล
เหล่านี้คือผู้มีอิทธิพลตัวจริงที่ต้องขึ้นบัญชี ที่ “ชาดา ไทยเศรษฐ์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ต้องตรวจสอบให้ละเอียดว่า หลุดรอดจากรายชื่อผู้มีอิทธิพลหรือไม่ เพราะถ้าในการขึ้นบัญชีผู้มีอิทธิพลที่จัดทำโดยฝ่ายปกครอง มีแต่ชื่อของรายเล็กรายน้อย ก็ป่วยการที่จะแก้ปัญหาของผู้มีอิทธิพล เพราะจำได้ว่า เคยมีการขึ้นบัญชีผู้มีอิทธิพลมาแล้วหลายครั้ง ที่นอกจากไม่ได้ทำให้ผู้มีอิทธิพลหมดไป แต่กลับทำให้มีผู้มีอิทธิพลเพิ่มขึ้น และจากผู้มีอิทธิพลที่เป็นนายทุน ก็กลายเป็นผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น และหลายรายเป็น “ผู้แทน” ที่ยิ่งใหญ่กว่าผู้มีอิทธิพล และเป็นผู้ที่อยู่เหนือผู้มีอิทธิพลในการเป็น ”แบ็ก” ให้ผู้มีอิทธิพลอีกทางหนึ่ง
และอีกประเด็นหนึ่งที่มีการออกข่าวจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ว่าจะมีมาตรการปราบปรามผู้ลักลอบนำเข้าพืชเศรษฐกิจจากต่างประเทศ มาจำหน่ายในประเทศไทย ที่ทำให้เกษตรกรชาวไทยขายพืชผลทางการเกษตรไม่ได้ราคา เพราะของเถื่อน ที่ลักลอบน้ำเข้ามีราคาถูกกว่า
สินค้าทางการเกษตรที่พบว่ามีการลักลอบนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน คือ “ยางพารา” จากพม่า ที่ส่วนใหญ่เข้ามาทางชายแดน จ.ระนอง และ “หัวหอม หัวกระเทียม” ที่นำเข้าจากชายแดนฝั่ง สปป.ลาว เข้ามาทาง จ.มุกดาหาร หนองคาย มีศูนย์กลางอยู่ที่ จ.อุดรธานี ก่อนที่จะกระจายเข้าสู่จังหวัดต่างๆ ของประเทศไทย
ในพื้นที่ชายแดนด้านฝั่ง สปป.ลาว มี “เสี่ยชาติ” เป็นนายทุนใหญ่ ใช้วิธีร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ใช้ใบเสร็จในการเสียภาษี ในการหมุนเวียนเพื่อการขนสินค้าเถื่อน มีโกดังเก็บของอยู่ในพื้นที่ อ.กำแพงแสน และ อ.บางเลน จ.นครปฐม ก่อนจะกระจายลงสู่พื้นที่ต่างๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่หลายฝ่ายรู้ดี แต่ไม่มีการแตะต้อง อาจเพราะไม่มีนโยบายจากฝ่ายการเมือง ฝ่ายประจำทุกหน่วยที่เป็นคนในเครื่องแบบจึงอิ่มหมีพีมันจนพุงปลิ้น
และรายใหญ่ที่สุดในการนำเข้าหอมและกระเทียมจากประเทศจีนเข้ามาทางเรือ เป็นตู้คอนเทนเนอร์ โดยมีการสำแดงเท็จในการนำเข้า เช่นเดียวกับสินค้าจากจีนอีกมากมายที่จำหน่ายในประเทศไทย ด้วยการสำแดงเท็จ และนำเข้ามาขายส่งที่ตลาดไทยในราคาที่ถูกกว่าหอมและกระเทียมของเกษตรกรไทย
ก็เห็นด้วยและสนับสนุนให้ “ผู้กองมนัส” ดำเนินการอย่างจริงจัง เพื่อเป็นการช่วยต่อลมหายใจให้แก่เกษตรกร ที่จะได้ขายผลผลิตในราคาสูงขึ้น ขออย่างเดียว มาตรการนี้ต้องไม่มีการ “ซ่อนมือใต้ผ้า” เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้เจ้าหน้าที่และฝ่ายการเมือง
และสุดท้ายเรื่องที่ “ผู้กองมนัส” ประกาศว่า จะเอาที่ดิน “ส.ป.ก.4-01” ทั่วประเทศหลายล้านไร่มาออกเป็น “โฉนด” เพื่อสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ที่ถือครอง ส.ป.ก.4-01
ประเด็นนี้ต้องมีมาตรการที่รอบคอบชัดเจน เพราะวันนี้ที่ดิน ส.ป.ก.4-01 จำนวนกว่าร้อยละ 70 ถูกคนจนที่เป็นเจ้าของแต่เดิมขายให้นายทุน หรือคนในพื้นที่ ซึ่งพอมีอันจะกินไปหมดแล้ว การออกโฉนดจึงต้องละเอียดรอบคอบ ต้องตรวจสอบว่า ผู้ที่เข้าไปครอบครองที่ดิน ส.ป.ก.4-0 1 เป็นเจ้าของเดิม ผู้เป็นคนจน หรือเปลี่ยนมือไปอยู่กับนายทุนและคนมีอันจะกินไปแล้ว โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีที่ดิน ส.ป.ก.4-0 1 เปลี่ยนมือไปอยู่กับนายทุนมานานแล้ว
เพราะการที่รัฐบาลหลายชุดที่ผ่านมา ไม่มีนโยบายให้ ส.ป.ก.4-0 1 เป็นโฉนด เนื่องจากไม่ต้องการให้เจ้าของที่ดินที่เป็นคนจนนำไปจำหน่ายจ่ายโอนหลังได้รับโฉนด และต้องการให้ที่ดิน ส.ป.ก.4-0 1 เป็น “มรดกตกทอด” ให้คนในตระกูล เพื่อเป็นที่ทำกินอย่างถาวร
เรื่องนี้ถ้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่ตีกรอบให้ถูกต้อง การนำที่ดินที่เป็น ส.ป.ก.4-01 มาเป็นโฉนดจะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่นายทุน ที่ไม่ต่างกับที่ “พรรคประชาธิปัตย์” เคยแจกที่ดิน ส.ป.ก.4-901 ให้เศรษฐีเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมานั่นเอง