นครศรีธรรมราช - พบประมงเครื่องมือผิดกฎหมายทำประมงเกลื่อนอ่าวปากพนัง-ปากนครอย่างเสรี เหลือเจ้าหน้าที่เพียงหน่วยเดียวรับมือไม่ไหว แถมพบขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 2 พันลำ กลายเป็นภัยคุกคามกลุ่มประมงถูกกฎหมาย ทรัพยากรสัตว์น้ำเสียหายรุนแรง
ย่านปากน้ำอ่าวปากนคร อ.เมือง เชื่อมต่อกับอ่าวปากพนัง อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช เรือประมงพื้นบ้านที่ปรากฏในภาพล้วนแต่มีการใช้เครื่องมือผิดกฎหมาย แขนที่ยื่นออกมาทางหัวเรือเรียกว่า “เรืออวนรุนหัว” เป็นเครื่องมือต้องห้ามสำหรับการทำประมงชายฝั่ง เช่นเดียวกับอีกหลายลำที่เห็นได้ชัดเจนจากชายฝั่ง คือ เรือที่มีตะแกรงเหล็กสำหรับคราดหอยหน้าดิน ที่สามารถเข้าออกปากอ่าวได้อย่างเสรี มีการใช้เครื่องมือเหล่านี้อย่างเป็นปกติ บ้างกำลังเดินทางออกไปในอ่าว บ้างทำประมงเสร็จแล้วกำลังกลับเข้าฝั่ง และลอยลำล้างอุปกรณ์เครื่องมือ โดยเฉพาะเครื่องมือทั้ง 2 ประเภทนี้ เป็นเครื่องมือต้องห้ามทำประมงในเขตชายฝั่ง หรือเขตอนุรักษ์สัตว์น้ำ ตามมาตรา 36 แห่งพระราชกำหนดการประมง 2558 และแก้ไขเพิ่มเติม 2560 ซึ่งหากถูกจับกุมมีระวางโทษปรับสูงนับแสนบาท แต่กลุ่มประมงพื้นบ้านที่ใช้เครื่องมือต้องห้ามเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในเขตชายฝั่งอ่าวปากนคร อ่าวปากพญา อ่าวปากพูน ในเขตเมืองนครศรีธรรมราช และอ่าวปากพนัง ซึ่งมีพื้นที่ติดต่อกันหลายร้อยตารางกิโลเมตร
มีข้อมูลจากกลุ่มการทำประมงเชิงอนุรักษ์ในพื้นที่ระบุว่า การทำประมงของกลุ่มที่พยายามอนุรักษ์ทรัพยากร สืบเนื่องจากแผนปากพนังโมเดล สมัย คสช.ได้เปิดยุทธการฟื้นฟูทรัพยากรสัตว์น้ำอ่าวปากพนัง ปราบปรามกลุ่มประมงผิดกฎหมาย และสร้างแนวทางในการทำประมงเชิงอนุรักษ์อย่างจริงจัง แต่ 4 ปีที่ผ่านมา การบูรณาการที่เคยเข้มแข็งจากหลายหน่วยงานยุติลง ทำให้ประมงผิดกฎหมายที่เหลือไม่มากแล้ว กลับทวีเพิ่มมากขึ้นกว่า 2 พันลำในปัจจุบัน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของเรือที่มีอยู่ในอ่าว แต่ไม่สามารถดำเนินการอะไรได้ เนื่องจากปัจจุบันมีหน่วยปราบปรามประมงทะเลปากพนังเพียงหน่วยงานเดียว มีเจ้าหน้าที่ไม่ถึง 10 นาย และเชื้อเพลิงมีจำกัดที่จะนำเรือตรวจการณ์ออกปฏิบัติการอย่างต่อเนื่องได้ไม่เกิน 3 วันต่อ 1 เดือน ขณะที่กลุ่มประมงถูกกฎหมายมีรายได้ลดลงอย่างมาก จากเดิมเฉลี่ยสูงถึงวันละ 1 พันบาทเป็นอย่างน้อย ปัจจุบันเหลือเพียง 300 บาทเท่านั้น จากการทำลายแหล่งสัตว์น้ำในพื้นที่ชายฝั่งจากกลุ่มประมงเครื่องมือผิดกฎหมายเหล่านี้
ชาวประมงพื้นบ้านรายหนึ่งระบุว่า กลุ่มที่ทำประมงแบบอนุรักษ์ หวังไว้ทำมาหากินจนถึงลูกหลาน กำลังประสบปัญหายากลำบากมาก เครื่องมือเสียหายจากคนพวกนี้ แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ มีทั้งลอบไอ้โง่ หรือลอบตัวหนอน เรืออวนรุน เรือคราดหอยเถื่อน หากไปอยู่ใกล้ของเขามีทั้งการคุกคาม ทั้งในทะเล ทั้งบนบกในหมู่บ้าน คนที่ทำประมงถูกกฎหมายกลายเป็นแกะดำ ราชการช่วยอะไรไม่ได้
“พวกประมงผิดกฎหมาย หรือพวกนายทุนรับซื้อสินค้าอาหารทะเลบางคน ลงทุนว่าจ้างคนในพื้นที่ลงขันกันลำละ 300-500 บาทต่อลำ รวมกัน 5-10 ลำ เพื่อหาคนเฝ้าดูต้นทางเจ้าหน้าที่ 1-2 คน มีรายได้ต่อคืนสูงถึง 3-5 พันบาท นำเรือออกไปทำทีตกเบ็ดใกล้ๆ กับที่ตั้งเรือปราบปรามประมงทะเล คอยเฝ้าเจ้าหน้าที่หากมีการนำเรือออกจะแจ้งให้เรือที่จ้างมาทราบ และให้เร่งกลับเข้าฝั่ง ทำให้เจ้าหน้าที่ทำงานยากมากขึ้น”
นอกจากนั้น ชาวประมงซึ่งไม่กล้าที่จะเปิดเผยตัวเอง เนื่องจากเกรงผลกระทบจากกลุ่มประมงผิดกฎหมาย ยังยืนยันว่า ภาคราชการหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทอดทิ้งปัญหา มีคนของบางพรรคการเมืองเข้ามาแทรกแซง ใช้อำนาจข้าราชการบางหน่วยเข้ากดดันให้เจ้าหน้าที่ปราบปรามประมงทะเลที่ออกมาตั้งฐานตามจุดสำคัญๆ เพื่อกดดันกลุ่มผิดกฎหมายต้องถอนกำลังกลับที่ตั้งปกติในแม่น้ำปากพนังชั้นใน ทำให้สะดวกต่อการทำประมงผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ทำงานได้อย่างยากลำบาก