ยะลา - นักวิชาการ สื่อมวลชน และภาคประชาสังคมชายแดนใต้ ร่วมสะท้อนมุมมองการจัดทำแผนยุทธศาสตร์ด้านการประชาสัมพันธ์เชิงรุกของ ศอ.บต. รองรับนโยบายรัฐบาล เน้นการสื่อสารในมิติด้านการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพแก่เครือข่ายสู่ความเข้าใจ โดยประชาชนสามารถนำไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์
ผู้เข้าร่วมจากกิจกรรมประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อระดมความคิดเห็นในการจัดทำ (ร่าง) แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนงานประชาสัมพันธ์เชิงรุกของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ระยะ 4 ปี (2567-2570) โดยกลุ่มงานประชาสัมพันธ์ ดึงสื่อมวลชนภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการด้านสื่อมวลชน ผู้แทนจากภาคประชาสังคม ผู้แทนจากสำนัก/กอง ศอ.บต. มาร่วมระดมความคิดเห็นนำเสนอแผนการประชาสัมพันธ์ที่จะขับเคลื่อนร่วมกันในอีก 4 ปีข้างหน้า เพื่อให้เป็นไปในทิศทางที่เป็นรูปธรรมและมีความชัดเจนมากขึ้น
ซึ่งยังคงมีการระดมสมองอย่างเข้มข้นโดยการแบ่งกลุ่มนำเสนอแผนการสื่อสารที่จะทำในอีก 4 ปีข้างหน้าจากสถานีความคิดในด้านการสร้างเครือข่ายให้มีความเข้มแข็ง โดยมีศอ.บต.ร่วมบูรณาการร่วมกับสื่อมวลชนทุกแขนง นักวิชาการ และภาคประชาสังคมขับเคลื่อนงานสื่อสารในพื้นที่ 5 จังหวัดอย่างมีจรรยาบรรณและมีความรับผิดชอบในสารที่สื่อออกไปถึงประชาชนและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสร้างช่องทางการสื่อสารเป็นของ ศอ.บต.เอง ในทุกแพลตฟอร์มตามยุคสมัย โดยพัฒนาบุคลากรให้เชี่ยวชาญขึ้นมาดูแลรับผิดชอบและต่อยอดเครือข่ายด้วยการดูแลอย่างมีมาตรฐาน ด้านกลยุทธ์การสื่อสาร สร้างคลังข้อมูลข่าวสารกลางที่ทุกภาคส่วนเข้าไปค้นหาข้อเท็จจริงได้สามารถรับรู้ข้อมูลที่ตรงกัน มีการจัดงบประมาณการสื่อสารในช่องทางสื่อใหม่ นำเสนอเนื้อหาข่าวด้วยผลลัพธ์ที่ประชาชนได้รับเป็นหลัก ตรงตามกระบวนการทำงานของ ศอ.บต. และสามารถบูรณาการงานด้านการพัฒนาและความมั่นคงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้านรูปแบบ/ช่องทางการสื่อสารสร้างแพลตฟอร์มที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มวัยตามยุคสมัย และสามารถสื่อสารได้หลากหลายภาษาที่เหมาะสม เช่น ไทย มลายู อังกฤษ อาหรับ จีน พัฒนาศักยภาพสื่อบุคคล เช่น บัณฑิตอาสา ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสื่อสารเพื่อพัฒนาความมั่นคงในพื้นที่ และมี Tiktoker ขับเคลื่อนงานสื่อสารใน 5 จังหวัดด้วย
นายตูแวดานียา มือรีงิง ผู้สื่อข่าวช่อง 3 ประเทศมาเลเซีย ประจำภาคใต้ ได้สะท้อนมุมมองแนวทางการประชาสัมพันธ์ในระยะ 4 ปี ว่า กิจกรรมที่จัดขึ้นถือเป็นการเปิดช่องทางในมิติใหม่เพื่อสร้างเครือข่ายการสื่อสาร ให้สามารถสื่อสารไปถึงระบบข้อมูลตรงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ดังนั้น อนาคตข้างหน้ามุมมองการประชาสัมพันธ์อยากให้มีการประชาสัมพันธ์เชิงรุกเน้นการใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ประชาชนรากหญ้าเข้าถึงได้ เช่น การสื่อสารด้วยภาษาถิ่น ภาษามลายู หรือภาษาที่ประเทศเพื่อนบ้านสามารถเข้าใจได้ เนื่องจากในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นสังคมพหุวัฒนธรรมที่หลากหลายเชื้อชาติ ศาสนา รวมถึงเป็นพื้นที่ที่อยู่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งการใช้ภาษามาเป็นตัวสื่อสารถือเป็นเรื่องที่สำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ ตลอดจนสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาในพื้นที่ได้แต่ทั้งนี้จะต้องไม่มีข้อจำกัดของการใช้ภาษา
ขณะที่ นายศุภฤกษ์ เวศยาสิรินทร์ อาจารย์ประจำหลักสูตรนิเทศศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏสงขลา ได้สะท้อนแนวคิดว่า ปัจจุบันบทบาทขององค์กรในการสื่อสารที่จะต้องรับเปลี่ยนวิธีคิด รูปแบบเครื่องมือต่างๆ ตั้งแต่ระดับผู้บริหาร ผู้ปฏิบัติการ ตลอดจนเครือข่ายการสื่อสารของ ศอ.บต.ในพื้นที่ หากไม่มีการปรับรูปแบบการสื่อสารเหล่านี้ อาจจะทำให้การสื่อสารไม่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตามที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะภาพลักษณ์ของพื้นที่ที่จะต้องยอมรับถึงสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้น อาจจะมีการนำหลักทฤษฎี 8 ลู่ 365 วัน ซึ่งได้แก่ 1.การสื่อสารภาวะวิกฤต 2.การสื่อสารผ่านสื่อหลัก 3.การสื่อสารผ่านสื่อใหม่ 4.Marketing (การตลาด) 5.การสร้างเครือข่าย (บัณฑิตอาสา) 6.ส่วนงานประชาสัมพันธ์ ศอ.บต. 7.การพัฒนาศักยภาพทีม ศอ.บต. และ 8.การสร้างความเข้าใจเพื่อนำไปสู่การพัฒนา เป็นต้น มาปรับใช้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และให้บุคลากรปรับเปลี่ยนการสื่อสารจากเดิมที่ใช้สื่อหลักให้เปลี่ยนเป็นการสื่อสารมิติใหม่เข้ามาเป็นตัวช่วยในกระบวนการ เพื่อให้การสื่อสารสามารถไปถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งเครือข่ายบุคคลจะต้องมีการพัฒนาสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ผ่านการรับรู้ เข้าใจกับผู้รับสารทั้งภายในและภายนอกต่อไปด้วย
ด้าน น.ส.วรรณกนก เปาะอิแตดาโอะ นายกสมาคมเด็กและเยาวชนเพื่อสันติภาพชายแดนใต้ เปิดเผยด้วยว่า การทำงานใน 4 ปี ข้างหน้าของ ศอ.บต. อยากจะเห็นความร่วมมือของทุกภาคส่วนบูรณาการทำงานร่วมกันสร้างความเข้าใจให้ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้รับรู้ถึงนโยบาย และสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้อง ชัดเจน ซึ่งที่ผ่านมาภาคประชาสังคมหลายกลุ่มได้เข้ามาขับเคลื่อนงานร่วมกับภาครัฐอย่างต่อเนื่องเติมเต็มการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งประชาชนจะได้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมไม้ร่วมมือในการขับเคลื่อนงานของศอ.บต.ไปด้วยกัน และสื่อสารเรื่องราวต่างๆจนเกิดความรู้สึกสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยต่อไป