ศูนย์ข่าวภูเก็ต - เจ้าของที่ดินในพื้นที่ ต.สาคู จ.ภูเก็ต ร้องขอความช่วยเหลือจาก “ชมรมปิยธรรมเพื่อความเป็นธรรม” หลังถูกธนารักษ์นำที่ดินที่ครอบครองสิทธิไปขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุ เผยทวงสิทธิมานานหลายปี แต่ไม่เป็นผล ล่าสุด ชมรมฯ เข้าช่วยเหลือยื่นฟ้องขอคืนสิทธิที่ดินและค่าเสียหายแล้ว
เมื่อเวลา 9.00 น. วันนี้ (6 ก.ย.) นายไสว จิตเพียร ประธานชมรมปิยธรรมเพื่อความเป็นธรรม ผศ.ร.อ.ดร.ประมาณเลิศ อัจฉริยปัญญากุล เลขานุการชุมรมปิยธรรมเพื่อความเป็นธรรม พร้อมด้วย นางชูชีพ บางวัฒนกุล และนายสมบูรณ์ บางวัฒนกุล สองสามีภรรยาชาวภูเก็ต อยู่บ้านเลขที่ 60/17 ถนนแม่หลวน ต.ตลาดเหนือ อ.เมือง จ.ภูเก็ต ผู้เสียหายจากกรณีกรมธนารักษ์ ประกาศที่ราชพัสดุทับที่ดินที่มีเอกสารสิทธิครอบครอง ในพื้นที่ ต.สาคู อ.เมือง จ.ภูเก็ต เดินทางมาศาลจังหวัดภูเก็ต เพื่อยื่นฟ้องผู้อำนวยการสำนักงานธนารักษ์พื้นที่ภูเก็ต และอธิบดีกรมธนารักษ์ ในข้อหากระทำละเมิด ติดตามที่ดินคืน และเรียกค่าเสียหาย
ผศ.ร.อ.ดร.ประมาณเลิศ อัจฉริยปัญญากุล เลขานุการชมรมปิยธรรมเพื่อความเป็นธรรม กล่าวว่า เมื่อประมาณ 4 เดือนที่แล้ว ทางชมรมปิยธรรมฯ ได้รับการร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากครอบครัวนางชูชีพ ถึงความไม่ชอบพามากลและรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม จากหน่วยงานธนารักษ์พื้นที่ภูเก็ต ที่มีการประกาศให้ที่ดินที่ผู้เสียหายครอบครองอยู่เป็นที่ดินราชพัสดุ ทั้งๆ ที่ผู้เสียหายครอบครองที่ดินดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ซื้อมาจากเจ้าของเดิมเมื่อปี 2539 ซึ่งมีหลักฐานเป็น น.ส.3 ก.
หลังจากได้รับการร้องเรียนได้ลงมาตรวจสอบข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น โดยได้ประสานไปยังหน่วยงานราชการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และนำหลักฐานเอกสารต่างๆ มาวิเคราะห์ข้อมูล พบความผิดปกติหลายจุด ซึ่งจากการสอบถามในส่วนของผู้เสียหายทราบว่า ก่อนจะซื้อที่ดินแปลงดังกล่าว เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่เศษ จากเจ้าของเดิมได้มีการลงพื้นที่ตรวจสอบที่ดินจริงเนื่องจากในขณะนั้นที่ดินแปลงดังกล่าวมีสภาพรกร้างเป็นป่า จึงได้ไปตรวจสอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งอำเภอและที่ดิน ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อในปี 2539 หลังจากซื้อได้นำที่ดินดังกล่าวไปขอกู้เงินกับทางธนาคาร ต่อมา ได้นำ น.ส.3 ก. เลขที่ 137 ออกเมื่อปี 2521 ของที่ดินแปลงดังกล่าวไปออกโฉนด ซึ่งตอนนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไร สามารถออกโฉนดได้ ไม่มีใครคัดค้าน รวมทั้งเจ้าของที่ดินใกล้เคียง ซึ่งก่อนออกโฉนดทางที่ดินจะต้องมีการตรวจสอบอย่างละเอียด
ต่อมา ทางธนารักษ์พื้นที่ภูเก็ตได้นำช่างรังวัดไปวัดที่ดินแปลงดังกล่าว โดยระบุว่าที่ดินดังกล่าว ทางธนารักษ์ได้ขึ้นทะเบียนเป็นที่ดินราชพัสดุ ซึ่งจากการตรวจสอบไม่พบหลักฐานว่ามีการบริจาคที่ดินแปลงดังกล่าวให้ แต่ทางหน่วยงานที่กล่าวอ้างว่าเป็นผู้ที่มีอำนาจเต็ม ซึ่งที่ผ่านมา ทางเจ้าของที่ดินได้พยายามติดต่อมาอย่างต่อเนื่องเพื่อจะขอตรวจสอบหนังสือหลักฐานการบริจาคที่ดินแปลงดังกล่าว แต่ไม่พบหลักฐานดังกล่าว นอกจากนั้น จากการตรวจสอบพบว่ายังมีข้อสงสัยหลายอย่างในที่ดินแปลงนี้ รวมทั้งขณะนี้ยังมีการนำป้ายไปติดในที่ดินแปลงดังกล่าวว่าเป็นที่ราชพัสดุ ซึ่งถือเป็นการละเมิดต่อเนื่อง
ผศ.ร.อ.ดร.ประมาณเลิศ กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบข้อมูลต่างๆ พบว่า ทางผู้เสียหายไม่ได้รับความเป็นธรรม ซึ่งที่ดินแปลงนี้ผู้เสียหายซื้อมาเมื่อปี 2539 และมีการครอบครองมาโดยตลอด แต่เมื่อปี 2543 ทางกรมธนารักษ์ได้นำที่ดิน น.ส.3 ก. เลขที่ 137 ไปขึ้นทะเบียนเป็นที่ดินราชพัสดุ ที่ ภก.216 โดยที่ไม่มีหนังสือบอกกล่าวกับผู้เสียหายแม้แต่ฉบับเดียว และผู้เสียหายไม่ทราบมาก่อนว่าธนารักษ์นำที่ดินแปลงดังกล่าวไปขึ้นทะเบียน
ผู้เสียหายมาทราบเมื่อปี 2557 ในช่วงที่ยื่นขออนุญาตก่อสร้างอาคารกับทาง อบต.สาคู ซึ่งทาง อบต.อนุญาตให้ก่อสร้างได้ แต่ต่อมาเมื่อมีเรื่องของความทับซ้อนในสิทธิครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวเกิดขึ้น ทาง อบต.จึงได้ทำหนังสือสอบถามไปที่สำนักงานที่ดินอำเภอถลางอีกครั้ง ซึ่งทางสำนักงานที่ดินได้มีการตอบกลับมา ว่า น.ส.3 ก. เลขที่ 137 ต.สาคู ได้ออกเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 44802 มีชื่อของ นางชูชีพ บางวัฒนกุล เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดิน ส่วนที่ดินดังกล่าวทับซ้อนกับที่ดินราชพัสดุหรือไม่ จากการตรวจสอบไม่ปรากฏหลักฐานการได้มาของที่ราชพัสดุแต่อย่างใด
ดังนั้น หลังจากรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดแล้ว ทางชมรมปิยธรรมเพื่อความเป็นธรรม จึงได้ตกลงกันว่าจะฟ้องร้องผู้อำนวยการสำนักงานธนารักษ์พื้นที่ภูเก็ต เป็นจำเลยที่ 1 และอธิบดีกรมธนารักษ์ เป็นจำเลยที่ 2 ในข้อหาหรือฐานความผิด กระทำและละเมิด ติดตามที่ดินคืน และเรียกค่าเสียหาย โดยยื่นฟ้องวันนี้ (6 ก.ย.) เพื่อให้จำเลยคืนสิทธิการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินในแผนที่ที่ราชพัสดุทะเบียน ภก.216 เป็นโมฆะ ใช้บังคับมิได้ ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าไปขัดขวางรบกวนสิทธิการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินและการใช้ประโยชน์ที่ดินตามฟ้องทั้งหมด ให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายเป็นเงิน 1 ล้าน พร้อมดอกเบี้ย และอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม พบว่าหลังจากที่ทางชมรมลงมารับเรื่องดังกล่าว ปรากฏว่ามีผู้เสียหายจากการนำที่ที่มีผู้ครอบครองไปขึ้นทะเบียนเป็นที่ดินราชพัสดุในพื้นที่ภูเก็ตอีกหลายราย ซึ่งหลังจากนี้จะนำเรื่องดังกล่าวไปเสนอต่อคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้มีการตรวจสอบทั้งระบบ เพราะเชื่อว่ายังมีผู้เสียหายอีกจำนวนมาก
ขณะที่นางชูชีพ และนายสมบูรณ์ บางวัฒนกุล ซึ่งเป็นผู้ครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าว ตามหลักฐาน น.ส.3 ก. เลขที่ 137 ต่อมาเปลี่ยนเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ เลขที่ 44802 จนกระทั่งมาทราบในตอนหลังว่า ทางธนารักษ์ได้นำที่ดิน น.ส.3 ก.ที่ตนครอบครองไปขึ้นทะเบียนเป็นที่ดินราชพัสดุ หลังจากทราบเรื่องพยายามที่จะติดตามเรื่องและยืนยันว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินของตนที่ซื้อต่อมาจากเจ้าของเดิม แต่ไม่เป็นผล จนขณะนี้เวลาล่วงเลยมากว่า 7 ปีแล้ว หมดหนทางในการทวงคืนที่ดินกลับมา แต่โชคดีที่มีชมรมปิยธรรมเพื่อความเป็นธรรม จึงได้ยื่นเรื่องดังกล่าวเพื่อขอความช่วยเหลือ และสุดทางทางชมรมเข้ามาให้ความช่วยเหลือพวกตนและครอบครัว ในการต่อสู้เพื่อนำที่ดินที่ควรจะเป็นของตัวเองตามสิทธิกลับมา