ตรัง - แม่น้องวัย 4 ขวบ ที่ถูกพยาบาล รพ.เอกชนชื่อดังฉีดยาผิดประเภทจนทำให้โคม่าเกือบไม่รอด ขอดำเนินคดีถึงที่สุด พร้อมร้อง รมว.สาธารณสุขคนใหม่ให้ลงมาช่วยเหลือ และแก้ระบบเพื่อมิให้เกิดปัญหาอีก
วันนี้ (6 ก.ย.) จากกรณีที่คุณแม่รายหนึ่งได้ออกมาร้องเรียนให้ลูกชายวัย 4 ขวบ หลังเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งในจังหวัดตรัง 1 คืน ด้วยอาการไข้หวัดธรรมดา แต่ทางแพทย์และพยาบาลมีการฉีดยาผิดประเภท โดยเอายาพ่นมาฉีดเข้าเส้นเลือด ทำให้เด็กมีเลือดออกทางปาก ช็อก ตาลอย จนมีอาการสาหัสนั้น
ล่าสุด น.ส.สุภิญญา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 35 ปี ชาวอำเภอกันตัง จ.ตรัง มารดาของเด็กวัย 4 ขวบดังกล่าว ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าว่า หลังจากที่เป็นข่าวออกมาแล้ว จนบัดนี้ทางโรงพยาบาลเอกชนดังกล่าวยังคงเงียบอยู่ ยังไม่ได้มีการติดต่อกลับมาแต่อย่างใด และทราบว่าทางสำนักงานสาธารณสุข (สสจ.) จังหวัดตรัง ได้มีการสอบสวนข้อเท็จจริงไปบ้างแล้ว และกำลังรอให้ทางโรงพยาบาลทำหนังสือชี้แจงกลับมาด้วย ซึ่งกรณีนี้ในส่วนของผู้เสียหายเองยังไม่เห็นหรือยังได้รับแต่อย่างใด
ในส่วนของการดำเนินคดีนั้น ทางทนายกำลังดำเนินการให้อยู่ โดยล่าสุดทาง สภ.เมืองตรัง ได้ออกหมายเรียกให้ทางโรงพยาบาล และตนเองมาสอบปากคำแล้ว ซึ่งเบื้องต้นข้อกล่าวหาที่แจ้งไว้จะเป็นความผิดฐานประมาทเลินเล่อทำให้ผู้อื่นได้รับอันตราย แต่ในส่วนข้อหาอื่นๆ ยังไม่ได้คุยกัน
น.ส.สุภิญญา กล่าวอีกว่า สำหรับอาการของลูกชายวัย 4 ขวบ ขณะนี้ยังคงมีอาการเหนื่อยง่าย หายใจหอบ ใบหน้าซีกขวามีหนังตาตก ไม่มีเหงื่อออก ไม่มีเลือดหมุนเวียน และมีรูม่านตาหดตัวลง โดยพบว่าเมื่อเวลาน้องวิ่งเล่นจะมีการวิ่งชนข้าวของเยอะกว่าปกติ และในวันที่ 8 กันยายนนี้ จะมีหมอเกี่ยวกับระบบประสาทและสายตาเข้าตรวจอาการของน้องอีกครั้ง ทั้งนี้ ตนเองมีลูกทั้งหมด 4 คน ชาย 3 คน หญิง 1 คน ส่วนน้องอรัน ลูกชายวัย 4 ขวบ ที่เกิดเรื่องในครั้งนี้เป็นคนสุดท้อง ซึ่งพวกพี่ๆ ของน้องคอยติดตามข่าวและเป็นห่วงอาการของน้องมาก แล้วตอนนี้มีคุณครูที่โรงเรียนเข้ามาติดตามอาการของน้องเช่นกัน
นอกจากนั้น ยังพบว่าน้องมีผื่นขึ้นตามตัว มีการอักเสบเป็นหนอง ด้านฝั่งข้างซ้ายที่โดนฉีดยาไป ซึ่งยังไม่ทราบว่าสาเหตุผลพวงจะมาจากการฉีดยาผิดประเภทในครั้งนั้นหรือไม่ เพราะตั้งแต่ที่น้องโดนยาตัวนี้ไปทำให้ป่วยบ่อย เหมือนภูมิคุ้มกันตกลงมา ทำให้ตอนกลางคืนตนเองจะมีความรู้สึกวิตกกังวลตลอด ต้องลุกขึ้นมาคอยจับตัวจับมือน้องทุกครั้งว่ายังหายใจอยู่ไหม และจากที่น้องเคยเป็นเด็กอารมณ์ดี ร่าเริง กลับกลายเป็นเด็กที่หวาดกลัวง่าย และมีอารมณ์รุนแรงขึ้นกว่าเดิม รวมทั้งมีอาการกลัวหมอ พยาบาล และโรงพยาบาลไปเลย หากพูดถึงหมอ น้องจะปิดตาและบอกว่า อย่าพูด จะปิดหูแล้ว ไม่อยากฟัง
น.ส.สุภิญญา กล่าวว่า ขณะนี้ทุกเดือนน้องจะต้องไปที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ เพื่อตรวจอาการ ทั้งหมอเด็กและหมอสายตา ซึ่งยังบอกไม่ได้ว่าจะต้องไปตลอดหรือไม่ เพราะน้องยังมีอาการอย่างต่อเนื่อง และหมอเองยังระบุไม่ได้ว่าน้องจะหายหรือไม่ แล้วตอนนี้จะมีเพียงครอบครัวที่ต้องช่วยดูแลน้อง หรือพาไปทำกายภาพ แต่ที่ไม่ได้ทำต่อเนื่อง เพราะตนเองต้องเดินทางทำงาน จึงไม่ได้มีเวลาพาไปเข้าคอร์สทำกายภาพ แถมยังต้องรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลเองทั้งหมดในตอนนี้ รวมทั้งค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ถึงแม้ว่าทางโรงพยาบาลเอกชนดังกล่าวจะยื่นข้อเสนอให้รักษาน้องฟรี 2 ปี แต่คงไม่ไปอีกเพราะไม่ไว้ใจอะไรแล้ว
สำหรับประเด็นในกรณีค่าสินไหมตามที่ทนายได้ทำเรื่องไปวงเงิน 10 ล้านบาทนั้น เป็นการคิดค่าสินไหมเบื้องต้นตามอายุระหว่าง 4-60 ปี ซึ่งได้ประเมินจากอาการของน้อง และอาการยังบอกไม่ได้ว่าจะหายหรือไม่ หรือจะคงที่ไหม หรือจะมีอะไรแทรกซ้อนในอนาคต เพราะหากพ่อกับแม่ไม่อยู่แล้ว น้องจะได้มีเงินไว้เก็บรักษาตนเอง ซึ่งก่อนหน้านี้ทางโรงพยาบาลเอกชนดังกล่าวเสนอจะให้ค่าสินไหมที่ 8 แสนกว่าบาท แต่ตนเองมองว่ายังเป็นมูลค่าที่ยังไม่เหมาะสมกับสิ่งที่น้องเจอ จากที่เด็กคนหนึ่งต้องมาเจอกับระบบผิดพลาดของโรงพยาบาล จนทำให้ต้องมีอาการหนักอยู่ใน ICU และมีอาการผลข้างเคียงระยะยาว ดังนั้น ตนจึงคิดว่าทางโรงพยาบาลยังรับผิดชอบน้อยไปจริงๆ
“อยากฝากให้ สสจ.ตรัง ช่วยติดตามในเรื่องของการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า มีความเป็นมาอย่างไร มีระบบผิดพลาดอย่างไร ในวันที่เกิดเหตุ หมอ เภสัชกรรม และพยาบาล มีการรับคำสั่งมาแบบไหน เพราะตอนนี้ไม่มีอะไรคืบหน้าเลย และอยากฝากถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขคนใหม่ให้ลงมามองปัญหาที่เกิดขึ้น สำหรับผู้ใช้บริการในสถานพยาบาล หรือภาคเอกชน อยากให้ตรวจเข้มในส่วนของระบบเป็นสำคัญ เพราะหากผิดพลาดไปแล้วจะหมายถึงชีวิต และอยากให้ใช้พยาบาลชำนาญการมาดูแลผู้ป่วย ไม่ใช่พยาบาลพาร์ทไทม์ ซึ่งตามระดับจะมีกำหนดว่า สามารถฉีดยาผู้ป่วยได้หรือไม่ ซึ่งในส่วนนี้จะช่วยป้องกันข้อผิดพลาดได้” น.ส.สุภิญญา กล่าว
ทั้งนี้ ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้ขอติดต่อสัมภาษณ์ นายแพทย์สินชัย รองเดช นายแพทย์ สสจ.ตรัง ถึงประเด็นความคืบหน้าการตรวจสอบข้อเท็จจริงโรงพยาบาลเอกชนดังกล่าว แต่ได้ถูกปฏิเสธให้สัมภาษณ์ โดยบอกกับผู้สื่อข่าวเพียงว่า ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ส่วนการเรียกร้องเยียวยานั้น ให้ทางแม่ของเด็กและทางโรงพยาบาลเอกชนไปตกลงกันเอาเอง เช่นเดียวกับกรณีของพยาบาลที่ฉีดยาผิดประเภทให้เด็กวัย 4 ขวบนั้น ทาง สสจ.ได้ทำเรื่องส่งไปสภาพยาบาลแล้ว โดยให้สภาพยาบาลพิจารณากันเอง ทาง สสจ.ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว รวมทั้งในส่วนของเภสัชกรที่จ่ายยาในวันที่เกิดเหตุ ทาง สสจ.ได้ส่งเรื่องให้ทางสภาเภสัชกรพิจารณากันเองอีกเช่นกัน