ทัศนะ โดย.. ไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล
ผ่านไปแล้ว 2 สัปดาห์ สำหรับโศกนาฏกรรม “โกดังพลุ ดอกไม้ไฟ และประทัด” ระเบิดที่ ตลาดมูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส
มหกรรมที่เหมือนตลาดสด เพราะคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ทั้งหน่วยงานของรัฐและประชาชน ที่แห่แหนลงพื้นที่ จบลงแล้ว วันนี้ “มูโนะ” เป็นเหมือนกับตลาดวาย ต่อไปก็คงเป็นลักษณะตลาดร้าง เหลือเพียงเจ้าหน้าที่ไม่กี่คนที่ยังมีหน้าที่ในการแก้ปัญหาที่ยังคาราคาซังอยู่ และหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบคงจะไม่พ้นฝ่ายปกครอง ที่ยังต้องเป็นฝ่ายบูรณาการในเรื่องที่เกิดขึ้น
มีหลายฝ่ายเสนอว่า หลังโศกนาฏกรรมให้มีการล้างภาพตลาดมูโนะ ซึ่งเป็นชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่เป็นเส้นทางค้าขายและขนข้ามบรรดาสินค้าเถื่อน เพื่อการล้างภาพของส่วยสาอากรและการทำการค้าที่ผิดกฎหมาย ซึ่ง “มูโนะ” คือ “ทำเลทอง” ของ อ.สุไหงโก-ลก เพราะมูโนะไม่ได้เป็นเพียงที่ตั้งของโกดังพลุ ดอกไม้ไฟ และประทัดเท่านั้น แต่มูโนะเป็น “ชุมทางของเถื่อน” ทั้งที่นำเข้ามาจากฝั่งมาเลเซีย และที่ส่งออกจากฝั่งของประเทศไทย เป็นตลาดชายแดนไทย-มาเลเซียที่มีเงินสะพัด และที่สำคัญ มีกิจการของเถื่อนใหญ่ๆ ที่ใหญ่กว่าพลุ ดอกไม้ไฟ และประทัด
นั่นคือ ขบวนการส่ง “วัวเถื่อน” จากฝั่งไทยไปมาเลเซีย โดยใช้เรือหางยาวเป็นพาหนะในยามที่คลองมีน้ำปกติ และจูงเดินข้ามไปในยามที่คลองตื้นเขิน ซึ่งการค้าวัวเถื่อนที่ "มูโนะ" เป็นภาพที่ชินตา ทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่ประมาณว่าในยามปกติจะมีการส่งวัวข้ามฝั่งไปมาเลเซีย เดือนละไม่ต่ำกว่า 5,000 ตัว และในยามที่เป็นช่วงเทศกาล เช่น รายอฮัจจ์ยี หรือฮารีรายอ ที่มีการทำกุรบาน และเทศกาลอื่นๆ การส่งออกวัวเถื่อนจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
ทำไมจึงเรียกว่า "วัวเถื่อน" ก็เพราะวัวเหล่านี้มีการซื้อมาจากประเทศเมียนมา หรือพม่า ผ่านทางชายแดนของภาคเหนือ เข้ามาจาก อ.ขุนยวม และอื่นๆ ทั้งใน จ.แม่ฮ่องสอนและบางจังหวัดที่มีชายแดนติดกับประเทศเมียนมา จากนั้นลำเลียงด้วยรถบรรทุก 10 ล้อมาส่งที่ ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส โดยที่ไม่มีการตรวจโรค ไม่ต้องผ่านด่านกักสัตว์ตามกฎหมายของกรมปศุสัตว์ ทั้งที่เป็นการนำเข้าและส่งออกที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศทั้งสิ้น ประเด็นนี้แหละที่เรียกว่าเป็น "การค้าวัวเถื่อน"
ในอดีตการค้าวัว-ควายเถื่อน นอกจากส่งออกผ่านช่องทางตามแนวชายแดน อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส จะมีอีกเส้นทางที่รู้จักกันดีคือ ชายแดน อ.สะเดา จ.สงขลา แต่ปัจจุบัน การส่งออกทางชายแดน อ.สะเดา น้อยลง และจะคึกคักอยู่ที่ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส โดยเส้นทางสำคัญคือ ชายแดนด้าน ต.มูโนะนี่แหละ มีการนินทากันว่าคนที่ทำธุรกิจส่งออกวัวเถื่อน "รายใหญ่" ที่ชายแดน ต.มูโนะ เป็นนักการเมือง ที่เป็นที่เกรงใจของเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายปกครอง ตำรวจ ทหาร และปศุสัตว์ ทำให้ไม่มีหน่วยงานไหนกล้าที่จะจับกุม หรือแม้แต่ตรวจสอบ จึงทำให้การส่งออก "วัวเถื่อน" ที่ชายแดนมูโนะ มีความสุขสบาย ไม่เคยถูกรบกวนจากเจ้าหน้าที่ ส่วนการที่ไม่ถูกรบกวนต้องมีรายจ่ายอย่างไร ยังไม่มีหน่วยงานไหนทำหลักฐานการรับส่วยตกหล่นให้เป็นหลักฐาน
นอกจากวัวเถื่อน สินค้าที่เป็นของชิ้นใหญ่อีก 2 อย่างคือ "น้ำมันเถื่อน" ที่ชายแดน จ.นราธิวาส ทั้งที่ อ.สุไหงโก-ลก และ อ.ตากใบ ยังเป็นเส้นทางของการค้าน้ำมันเถื่อนอย่างเป็นล่ำเป็นสัน โดยมีนายทุนหลายกลุ่มด้วยกัน ทั้งที่เป็นพ่อค้าน้ำมันที่มีปั๊มน้ำมันทั้งถูกต้องและไม่ถูกต้องอยู่ในพื้นที่ และกลุ่มที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่น และอื่นๆ โดยมีการจ่ายส่วยและเก็บส่วยน้ำมันเถื่อน ทั้งจากตำรวจและปกครอง โดยเฉพาะตำรวจที่เข้าไปรับ "ส่วยน้ำมันเถื่อน" มีไม่ต่ำกว่า 10 หน่วย โดยมีตำรวจ ปนม. ที่ถูกกล่าวหาว่าไม่ทำงาน ทั้งที่มีหน้าที่ในการปราบปรามน้ำมันเถื่อนโดยตรง
และสุดท้ายคือ "บุหรี่เถื่อน" หรือบุหรี่หนีภาษี ที่ใช้เส้นทางของ อ.ตากใบเป็นเส้นทางหลัก เพราะบุหรี่หนีภาษีส่วนใหญ่จะมาจากเรือ ส่วนนายทุนใหญ่ในขบวนการค้าบุหรี่เถื่อนก็ไม่พ้นนักการเมืองระดับชาติและนักการเมืองท้องถิ่น โดยเฉพาะที่รู้จักการในชื่อ "นายกทอ" จะเป็นผู้ที่โด่งดังและเป็นที่รู้จักของเจ้าหน้าที่ทุกหน่วย
นี่เอาแค่เบาะๆ ยังไม่ได้กล่าวถึง "ขบวนการค้าคนเถื่อน" และ "ขบวนการค้ายาเสพติด" ที่เป็นอีก 2 ขบวนการใหญ่ ที่ถูกมองว่ามีการ "จิ้มก้อง" ให้ทั้งเจ้าหน้าที่และ "กองกำลังติดอาวุธ" ในพื้นที่ เพื่อใช้ในการเปิดทางเพื่อส่งสินค้าข้ามแดน และใช้ในการ "วางระเบิด" เพื่อข่มขู่เจ้าหน้าที่ หากมีการเข้มงวดตามแนวชายแดน ซึ่งทำให้การส่งสินค้าออกและการนำสินค้าเข้าถูกเข้มงวดจากเจ้าหน้าที่ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย ริมแม่น้ำสุไหงโก-ลก ที่มีชายแดนที่เหมาะแก่การ "ค้าของเถื่อน" ตั้งแต่ อ.แว้ง จนถึง อ.ตากใบ
ที่หยิบเรื่องนี้มาเขียนเพื่อให้สอดคล้องกับเรื่อง "โศกนาฏกรรมจากโกดังพลุระเบิด" ซึ่งเกิดขึ้นที่ "ตลาดมูโนะ" เพื่อที่จะบอกว่า เรื่องของส่วยจากการค้าพลุ ดอกไม้ไฟ และประทัด เป็นเรื่องจิ๊บจ้อย ถ้าเทียบกับการส่งออกวัวเถื่อน การนำเข้าน้ำมันเถื่อนและบุหรี่เถื่อน การค้าคนเถื่อนและยาเสพติด ส่งของเถื่อนอื่นๆ เป็นเพียงน้ำจิ้มเท่านั้น
ดังนั้น จึงอย่าได้คาดหวังว่าเจ้าหน้าที่รัฐไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ หรือฝ่ายปกครอง ที่เรียกกันว่า กอ.รมน.จะ "ดับไฟใต้" ซึ่งเป็นปัญหาที่สลับซับซ้อนได้สำเร็จ เพราะแค่การปราบปรามขบวนการของเถื่อน หรือจับ "วัวเถื่อน" ที่ไม่มีปืนในมือ ยังไม่กล้าทำ หรือไม่อยากทำ แล้วเรื่องที่ยากกว่า เช่น การต่อกรกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนจะทำสำเร็จได้อย่างไร
จะบอกว่าที่ไม่มีหน่วยงานไหนทำสำเร็จ เพราะส่วยคาปาก ก็ไม่กล้าเขียน เพราะไม่มีหลักฐานในการกล่าวหา ได้แต่เข้าใจว่า ทุกหน่วยงานกลัวเกรงผู้มีอิทธิพล ซึ่งเป็นนักการเมือง ที่ทั้งทำการค้าเองและคุ้มครองขบวนการอื่นๆ จึงไม่มีใครกล้าที่จะกวาดล้างหรือจับกุม และเชื่อว่า โศกนาฏกรรมของประชาชนในตลาดมูโนะ คือการสูญเปล่า เพราะไม่ได้กระตุ้นต่อมสำนึกของหน่วยงานรัฐและข้าราชการน้อยใหญ่ในการทำวิกฤตให้เป็นโอกาส เพื่อทำให้ชายแดนของจังหวัดนราธิวาสปลอดจากขบวนการของเถื่อนข้ามชาติแต่อย่างใด
และเชื่อเถอะ อีกไม่กี่วันชายแดนมูโนะก็จะกลับมารุ่งเรืองเป็น "ทำเลทอง" ในการนำเข้าและส่งออกสินค้าเถื่อนทุกชนิดเหมือนเดิม
เอ้า ไม่เชื่อ ก็คอยดูกัน