xs
xsm
sm
md
lg

จับตาพิเศษ ส.ค.นี้กับความพัวพันของ “ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” และ “ขบวนการค้าของเถื่อน”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้ โดย... ไชยยงค์ มณีพิลึก

เดือน ส.ค.2566 นี้ต้องจับตาสถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นพิเศษ เพราะความรุนแรงที่เกิดขึ้นเกี่ยวพันทั้งกับ “ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” และ “ขบวนการค้าของเถื่อน” โดยเฉพาะพื้นที่ชายแดนติดกับมาเลเซียอย่างเช่นที่ อ.สุไหงโก-ลก อ.ตากใบ อ.แว้ง ใน จ.นราธิวาส
 
พื้นที่เหล่านั้นถือเป็น “ทางเสือผ่าน” หรือมีการลำเลียงของเถื่อนข้ามฝั่งกันไปมา โดยสินค้าจากฝั่งไทยที่ตลาดมาเลเซียต้องการมากนอกจาก “ข้าวสาร” แล้วก็ยังมี “คนเถื่อน” แต่ที่ต้องกล่าวถึงเป็นพิเศษคือพวก “พลุ-ดอกไม้ไฟ-ประทัด” โดยเฉพาะวันเฉลิมฉลองเอกราช (เมอร์เดกา ) 30 ส.ค.ที่จะถึงนี้ยิ่งมีความต้องการเพิ่มขึ้น
 
นั่นจึงคือที่มาของเหตุการณ์ “โศกนาฏกรรมโกดังพลุระเบิด” ที่ตลาดมูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส นอกสร้างความสูญเสียย่อยยับให้แก่ประชาชนจำนวนมากมายแล้ว ยังสร้างความอัปยศต่อเจ้าหน้าที่ ทั้งตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครองอีกด้วย

ส่วนสิ่งของที่ลักลอบนำเข้าจากมาเลเซียที่เป็นที่นิยมของตลาดไทยคือ น้ำมัน บุหรี่ เหล้า น้ำมันปาล์ม หอม กระเทียม เนื้อวัว และมีข้อมูลยืนยันว่า “ขบวนการค้าของเถื่อน” ของนายทุนไทยเหล่านี้ล้วนแต่มี “นักการเมือง” อยู่เบื้องหลัง
 
ขอเน้นไว้เป็นพิเศษสักนิดคือ “น้ำมันเถื่อน” สิ่งนี้ถือเป็นสินค้าโอทอปของทั้งภาคใต้ไปแล้ว เช่นเดียวกันกับ “บุหรี่เถื่อน” ก็มีราคาถูกกว่าบุหรี่จากโรงงานยาสูบไทยถึงซองละ 80-90 บาท แต่ที่แปลกมากคือ “วัวเถื่อน” ที่ขนไปจากไทยหน้าแล้งจูงข้ามคลอง แต่พอหน้าน้ำใช้เรือหางยาวลากได้ทีละหลายสิบตัว อยากรู้ว่าแปลกอย่างไรลองไปหาคลิปในสื่อสังคมออนไลน์ดูชมกัน

วัวเถื่อนลอบนำเข้าเหล่านี้ระดับนำของขบวนการส่วนใหญ่เป็น “ลูกเทศ” นอกจากพ่อค้าอิทธิพลแล้วก็ยังมี “นักการเมืองระดับชาติ” เป็นนายทุนใหญ่กับเขาด้วย โดยนำวัวเถื่อนมาจากพม่าลอบเข้าทาง อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน แล้วขนด้วยรถสิบล้อมาพักยัง ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ก่อนนำข้ามคลองไปขายให้นายทุนฝั่งมาเลเซีย
 
ที่น่าสนใจคือบรรดา “วัวเถื่อน” เหล่านั้นไม่เคยผ่านการกักกันสัตว์หรือได้รับการตรวจโรคอะไรเลย เหตุเพราะมี “นักการเมืองมากบารมี” ทำให้มาตรการทางกฎหมายบิดเบี้ยวได้ จนเป็นที่ร่ำลือว่าขนาดใครจะมาเป็นผู้ว่าฯ ผู้การจังหวัด หรือกระทั่งผู้กำกับตาม สภ.ชายแดน ต่างต้องได้รับไฟเขียวจากนักการเมืองมาก่อน
 
เชื่อไหมมีตัวเลขวัวเถื่อนที่ลักลอบขนข้ามคลองเฉพาะที่ ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส ปกติเดือนละไม่ต่ำกว่า 5,000 ตัว แต่ถ้าช่วงไหนตรงกับเทศกาลสำคัญ เช่น ฮารีรายอ หรือรายอฮัจยี จำนวนตัวเลขจะเพิ่มแบบทบเท่าทวีคูณเลยทีเดียว
 
ประเด็นสำคัญคือ กรมปศุสัตว์ สำนักงานปศุสัตว์เขต 9 สำนักงานปศุสัตว์จังหวัดนราธิวาส รวมถึงด่านตรวจและด่านกักสัตว์ ตลอดเส้นทางจาก จ.แม่ฮ่องสอนถึง จ.นราธิวาสกว่า 2,000 จุด บรรดาเจ้าหน้าที่เขาอยู่กันอย่างไรจึงปล่อยให้เกิดขบวนการค้าวัวเถื่อนข้ามชาติจากเหนือจดใต้ได้ทำมาหากินกันมายาวนานหลายสิบปี
 
นอกจากตำรวจและฝ่ายปกครองแล้ว ต้องขอกล่าวเป็นพิเศษกับ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” บรรดาท่านๆ ทั้งหลายอยู่กันอย่างไร ทำไม่จึงไม่รู้ ไม่เห็น ทั้งที่เรื่องวงการค้าวัวเถื่อนไม่ได้ประโยชน์กับคนในพื้นที่เลยแม้แต่กระผีกริ้น เพราะวัวทั้งหมดส่งมาจากพม่าในราคาถูกๆ ไม่ใช้วัวที่เลี้ยงโดยเกษตรกรในพื้นที่แม้แต่ตัวเดียว
 
หลังเหตุโกดังพลุระเบิด ขณะเจ้าหน้าที่รัฐถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์เปียกปอนไปทั้งตัวเรื่อง “ส่วยพลุ” ก็กลับเกิดเหตุใหญ่แทรกซ้อนกลางเมืองสุไหงโก-ลก ซึ่งถือเป็นเมืองแห่งผลประโยชน์ของขบวนการค้าสิ่งผิดกฎหมาย นั่นคือเกิดแหตุ “คาร์บอมบ์” กลางสี่แยกอรกานต์ จุดตัดทางรถไฟ ใจกลางเมืองแบบที่ค่อนข้างแปลกหู แปลกตา และแปลกใจ
 
เนื่องจากว่าเจ้าหน้าที่ทั้งทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครองไม่ได้กระตือรือร้นกับวินาศกรรมครั้งนี้มากนัก แถมยังบอกกับบรรดานักข่าวด้วยว่า เป็นคาร์บอมบ์ที่ไม่ประสงค์เอาชีวิตใคร โดยเป็นการปฏิบัติการที่เป็นขั้นเป็นตอนประกอบกำลังกัน 3 ชุดคือ โจมตีด้วยอาวุธปืน ไปป์บอมบ์ ก่อนจบด้วยคาร์บอมบ์
 
หลังจากนั้นเพียง 2 วันก็มีปฏิบัติการต่อชุดลาดตระเวนทหารตามแนวชายแดนที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ซึ่งนั่นก็คือหนึ่งในเป็นพื้นที่สำคัญในการลำเลียงสินค้าเถื่อน โดยเฉพาะ “บุหรี่หนีภาษี” ที่เป็นที่รู้กันว่านายทุนใหญ่คือ “นักการเมืองท้องถิ่น”
 
สำหรับขบวนการลอบขนสินค้าหนีภาษีตามแนวชายแดนไทย-มาเลเซียระดับที่เรียกได้ว่า “เจ้าพ่อ” มีทั้ง “นักการเมืองระดับชาติ” และ “นักการเมืองท้องถิ่น” รวมถึง “เจ๊ๆ” และ “เฮียๆ” ร่วมมือกันอย่างเป็นระบบ แถมยังมีการสานประโยชน์กับ “ขบวนการแบ่งแยกดินแดน “ และ “กองกำลังติดอาวุธ” ในพื้นที่ด้วย
 
ต้องยอมรับความจริงว่า บรรดา “โกดังเก็บพลุ” ที่มีอยู่หลายแห่ง รวมทั้งที่เกิดระเบิดในตลาดมูโนะไปแล้วด้วย เจ้าของที่เป็นนายทุนต่างก็ “จ่ายส่วย” ให้ “กองกำลังติดอาวุธ” ในพื้นที่เพื่อให้ความคุ้มครองด้วยกันทั้งนั้น
 
ดังนั้น เรื่องของคาร์บอมบ์กลางแยกอรกานต์ ใจกลางเมืองสุไหงโก-ลก และการโจมตีชุดลาดตระเวนทหารแนวชายแดนทหารใน อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ต่างก็ถูกมองว่าไม่ใช่ “คำสั่ง” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน “บีอาร์เอ็น” ที่ฝังตัวอยู่ที่มาเลเซียเพื่อสร้างสถานการณ์แน่นอน
 
แต่เป็นไปได้ที่จะเป็นปฏิบัติการของ “กองกำลังติดอาวุธ” ที่ให้การสนับสนุนขบวนการสินค้าเถื่อนในพื้นที่ จ.นราธิวาส เพื่อเตือนทุกฝ่ายในพื้นที่ว่า อย่าได้ “ล้ำเส้น” แห่งผลประโยชน์ระหว่าง “เจ้าหน้าที่” กับ “กองกำลังติดอาวุธ” ที่ให้ความคุ้มครองเจ้าพ่อเจ้าแม่เหล่านั้น
 
และน่าจะเป็นเช่นเดียวกับการที่ “กองกำลังติดอาวุธ” เคยปฏิบัติการโจมตีที่ทำการตำรวจน้ำใน อ.ตากใบ จ.นราธิวาส เมื่อช่วง 1 ปีที่ผ่านมา รวมถึงเหตุระเบิดเสาไฟฟ้าและอื่นๆ ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงมาจาก “ความไม่พอใจ” ตำรวจน้ำและที่สนธิกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายอื่นๆ เข้าจับกุม “โกดังเก็บบุหรี่หนีภาษี” รายใหญ่ของ “นักการเมืองท้องถิ่น” ที่ไม่ได้เกี่ยวกับการแบ่งแยกดินแดนแต่อย่างใด
 
จนบัดนี้เวลาล่วงเลยมาเป็นปีที่ 2 คดีการโจมตีตำรวจน้ำตากใบก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆ ที่สำคัญไม่มีใครตกเป็นผู้ต้องสงสัยเลยสักคน ทั้งที่เป็นที่รับรู้กันกว้างขวางทุกครั้งว่าเป็นการกระทำของใคร และมีเจตนาอะไร ซึ่งก็ไม่ต่างจาก “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” นั่นเอง
 
จึงสรุปได้ว่า คาร์บอมบ์ที่สี่แยกอรกานต์ อ.สุไหงโก-ลก และการซุ่มโจมตีทหารชุดลาดตระเวนตามแนวชายแดนที่ อ.ตากใบ เป็นเรื่องของ “นายทุนอิทธิพล” ที่มีเครือข่ายการทำธุรกิจผิดกฎหมายใน จ.นราธิวาส เป็นผู้ลงมือปฏิบัติการ เป็นการเตือนว่า อย่าได้ล้ำเส้นปิดชายแดน
 
เนื่องเพราะยังมีการ “จ่ายส่วย” กันต่อเนื่อง หากเตือนแล้วไม่เชื่ออาจจะมีคาร์บอมบ์ลูกต่อไป หรืออาจจะมีทั้งประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐตกเป็นเหยื่อก็เป็นไป ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเช่นเดียวกับคาร์บอมบ์แฟลตตำรวจที่ อ.เมือง จ.นราธิวาส เมื่อปีก่อน
 
สรุปแล้วเรื่อง “แบ่งแยกดินแดน” กับ “ขบวนการค้าของเถื่อน” เป็นเรื่องที่แทบแยกกันไม่ออก และล้วนแต่มีผู้ได้รับประโยชน์ที่เป็น “เจ้าหน้าที่” ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง
 
ดังนี้แล้วจึงอยากตั้งคำถามว่าแล้ว “รัฐบาล” และ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” จะแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร


กำลังโหลดความคิดเห็น