ตรัง - ชาวบ้านริมเทือกเขาบรรทัด ในพื้นที่ อ.ปะเหลียน และ อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง นำ “นกบินหลาดง” จากธรรมชาติมาทำการเพาะเลี้ยงจนได้คุณภาพดีที่สุดในระดับประเทศ สร้างมูลค่าให้สูงถึงตัวละหลักหมื่นหลักแสน
นายนิพนธ์ พลสังข์ แกนนำชมรมผู้เลี้ยงนกบินหลาดงจังหวัดตรัง กล่าวว่า “กางเขนดง” หรือ “บินหลาดง” ถือเป็นนกที่คนไทยรู้จักกันดี และยังเป็นนกประจำถิ่นภาคใต้ แต่น้อยคนนักที่จะได้พบในธรรมชาติ เพราะเป็นนกที่ปราดเปรียว และชอบหลบซ่อนตัวอยู่ในป่ารกทึบ โดยเฉพาะกอไผ่ ส่วนใหญ่จึงมักเห็นนกชนิดนี้ในกรง เนื่องจากหลายคนชอบเลี้ยงไว้ฟังเสียงร้อง ซึ่งยกย่องกันว่าไพเราะที่สุด รวมทั้งมีสีสันของลำตัวสวยงาม โดยเฉพาะบริเวณท้องที่เป็นสีแดงอมน้ำตาล และมีหางยาวกว่าปีก โดยพบว่าบริเวณเทือกเขาบรรทัด ระหว่าง จ.สตูล ตรัง พัทลุง ไปจนถึงนครศรีธรรมราชนั้น นับเป็นแหล่งที่มีนกบินหลาดงที่มีคุณภาพดีที่สุดของประเทศ
อย่างไรก็ตาม จากสภาพป่าไม้ที่ถูกทำลาย ส่งผลให้นกบินหลาดงตามธรรมชาติค่อยๆ ลดน้อยลง ดังนั้น ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งในพื้นที่ อ.ปะเหลียน และ อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง จึงรวมตัวกันเพาะขยายพันธุ์นกบินหลาดง จนประสบความสำเร็จขึ้นเป็นแห่งแรกของประเทศไทย โดยแม่พันธุ์ 1 ตัว จะออกไข่มาครั้งละ 4-5 ฟอง และฟักเป็นตัวเกือบทั้งหมดในระยะเวลา 14 วัน พร้อมทั้งสามารถผสมพันธุ์ในกรงได้ปีละ 3-4 ครั้ง ซึ่งหลังจากที่ลูกนกเริ่มกินอาหารเม็ดได้ 45 วัน นำไปขายได้ในราคาคู่ละ 5 พันบาท หรือหากเลี้ยงไป 1 ปี จะกลายเป็นพ่อแม่พันธุ์ที่มีราคาขายคู่ละ 1 หมื่นบาท และหลังจากนั้นอาจสูงถึงตัวละ 2-3 แสนบาทเลยทีเดียว หากมีประวัติ และผลงานดี
ขณะที่ นายวันชัย ทองเกลี้ยง ชาวบ้านหนานปู ต.ในควน อ.ย่านตาขาว จ.ตรัง กล่าวว่า ปัจจุบันการเลี้ยงนกบินหลาดงในพื้นที่ภาคใต้ กำลังกลับมาได้รับความนิยมสูงขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่ห่างหายไปนานจนเกือบจะสูญพันธุ์ไปแล้ว เพราะนกบินหลาดงมีทั้งสำนวน น้ำเสียง ลีลา และขันทนไม่แพ้นกกรงหัวจุก โดยลูกนกที่ออกมาจากการเพาะขยายพันธุ์ของทางกลุ่มสามารถเติบใหญ่และมีคุณภาพดี ทั้งเสียงร้องและสีสัน จนเป็นที่ต้องการของตลาดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่การเลี้ยงทำได้ไม่ยุ่งยากมาก เพราะมีอาหารสด เช่น จิ้งหรีด หนอน ไส้เดือน รวมทั้งอาหารเม็ดจำหน่ายตามร้านค้าทั่วไป เพียงแค่ทำกรง และรังให้เป็นธรรมชาติ หรือมิดชิดมากที่สุดเท่านั้น
