ชุมพร - คนร้ายสุดโหด ควงลูกซองบุกจ่อยิงคนไทยและพม่าดับ 4 ศพ ในสวนยางพาราริมเขา ห่างจากถนนใหญ่ 15 กม. คาดเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ชั่วโมง เชื่อเป็นคนร้ายคนเดียวกัน ซึ่งขณะนี้คนร้ายอยู่ระหว่างการหลบหนี
เมื่อเวลา 08.30 น.วันนี้ (16 ก.ค.) ร.ต.ท.ชัยรัตน์ ชัยเดช รอง (สว.)สอบสวน สภ.นาสัก จ.ชุมพร ได้รับแจ้งจากนายสุรชัย สมนึก อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 138/1 หมู่ 19 ต.นาสัก อ.สวี จ.ชุมพร ว่า นายประยงค์ สมนึก อายุ 60 ปี ซึ่งเป็นพ่อถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดยิงเสียชีวิตอยู่ริมถนนทางเข้าบ้าน จึงรายงานผู้บังคับบัญชา และรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วย พ.ต.อ.จักรา เสาวคนธ์ ผกก.สภ.นาสัก พ.ต.ท.พนัส หมุนวงศ์ รอง ผกก.สอบสวน สภ.นาสัก และกำลังตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน หน่วยกู้ชีพกู้ภัยสายชลมูลนิธิชุมพร
ที่เกิดเหตุอยู่ริมเขากลางป่ายางพาราห่างจากถนนสายเอเชีย 41 ประมาณ 15 กม. ถนนที่ใช้สัญจรเป็นลูกรัง ผ่านป่าเขาและลำห้วยหลายจุด เจ้าหน้าที่พบกับผู้แจ้งพร้อมญาติและชาวบ้านที่ทราบข่าวกำลังยืนดูศพผู้เสียชีวิต เจ้าหน้าที่จึงได้กั้นพื้นที่ ก่อนทำการชันสูตรศพนายประยงค์ สมนึก ซึ่งสภาพนอนหงาย สวมกางขาสั้นสีดำ เสื้อเชิ้ตลายสก๊อต มีทางมะพร้าวปิดร่าง เสียชีวิตอยู่ริมทางใกล้ลำธารทาง ห่างจากบ้านผู้ตายเพียง 200 เมตร
โดยสภาพถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองเข้าลำตัว ใบหน้า แขน กว่า 20 รู ตัวเริ่มแข็ง ซึ่งคาดเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ชม. ใกล้กันบนเชิงเขา เจ้าหน้าที่พบปลอกประสุนปืนลูกซอง ตกอยู่ในพงหญ้าในสวนยางพารา ห่างจากศพ ประมาณ 30 เมตร จำนวน 2 ปลอก จึงได้เก็บไว้เป็นหลักฐาน
สอบถามนายสุรชัย ลูกชายผู้ตายให้การว่าเดิมทีตนเองไม่ค่อยได้อยู่บ้าน เพราะออกไปทำงานรับจ้างนอกหมู่บ้าน แต่ที่กลับมาเพราะว่า เมื่อวานช่วงเย็นตนเองได้โทรศัพท์มาหา นายประยงค์ ผู้ตายปรากฏว่าติดแต่ไม่รับสาย ซึ่งไม่ได้เอะใจ เพราะรู้ก่อนหน้าว่าพ่อจะมาต่อท่อน้ำไปใช้ในสวน จนกระทั่งช่วงเช้า ได้ขับรถเพื่อมาดูพ่อ แต่ระหว่างทางสังเกตเห็นทางมะพร้าวปิดอะไรสักอย่าง จึงจอดรถดูพบว่าใต้ทางมะพร้าวเป็นร่างของพ่อนอนจมกองเลือดอยู่ จึงได้โทร.มาบอกอา และแจ้งตำรวจให้มาตรวจสอบ
นายสุรชัย ให้การว่า ตนเองไม่ทราบว่าคนร้ายเป็นใคร เพราะพ่อไม่เคยเล่าอะไรให้ฟัง แต่ได้ยินญาติว่า พ่อเคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับคนรู้จัก แต่นานมาแล้ว ส่วนรถยนต์ของพ่อนั้นเป็นรถยนต์กระบะตอนครึ่งสีบรอนซ์ หมายเลขทะเบียน บย 2075 ชุมพร นั้น ทราบว่าคนร้ายได้เอาไปด้วย
ด้าน น.ส.จันทร์แรม บุญจร อายุ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 218/2 หมู่ 19 ต.นาสัก อ.สวี จ.ชุมพร ซึ่งเป็นน้องผู้ตาย เปิดเผยว่า ตนปักใจเชื่อว่า คนก่อเหตุคือคนที่เคยมีเรื่องกัน เพราะเคยมีเรื่องกับพี่ชายมาแล้วหลายครั้ง เรื่องที่เรื่องทางกัน แต่ทั้งคู่ปรับความเข้าใจและมาคืนดีกันแล้ว แต่อยู่ๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงมาเกิดเรื่องขึ้นอีก
ประกอบกับคู่กรณีมีนิสัยอันธพาล ชอบพกปืนและชอบข่มขู่แรงงานต่างด้าว จนมีแรงงานบ้างคนต้องหอบผ้าหอบผ่อนหนีเพราะกลัวถูกทำร้าย อีกทั้งมีประวัติติดยาเสพติดอีกด้วย และหลังก่อเหตุได้ขับรถยนต์ของพี่ชายไปด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ตำรวจกำลังชันสูตรศพนายประยงค์อยู่นั้น ได้มีชาวบ้านซึ่งกำลังจะเดินทางไปตัดปาล์มน้ำมัน ได้โทรศัพท์แจ้งมาที่ น.ส.วันทนีย์ บุญอยู่ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 19 ต.นาสัก อ.สวี จ.ชุมพร ว่า พบศพถูกเผาอยู่ระหว่างทางไปสวนของตน จึงเดินทางไปที่จุดเกิดเหตุ พร้อมด้วย พ.ต.อ.จักรา เสาวคนธ์ ผกก.สภ.นาสัก เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนสอบสวน และหน่วยกู้ภัยสายชล โดยจุดรับแจ้งซึ่งอยู่ห่างจากจุดแรกเพียง 300 เมตร พบศพถูกเผาดำเป็นตอตะโก โดยมีรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า หมายเลขทะเบียน 1 กก 5811 ชุมพร ทับร่างอยู่ จึงประสานให้ ร.ต.อ.ชัยรัตน์ ชัยเดช รอง สว.สอบสวน สภ.นาสัก พร้อมตำรวจพิสูจน์หลักฐาน จ.ชุมพร รุดมาเก็บพยานหลักฐานแวดล้อมต่างๆ
จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้เดินไปตรวจสอบที่บ้านพักคนงาน ซึ่งจุดที่ 3 ที่ได้รับแจ้งมาว่าพบคนเสียชีวิตอยู่หน้าบ้านพักแรงงานต่างด้าว ห่างจากจุดที่พบศพจุดที่ 2 ประมาณ 300 เมตร เป็นบ้านพักชั้นเดียว ปลูกอยู่กลางสวนยางพารา พบผู้เสียชีวิตสภาพถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองเข้าบริเวณท้ายทอยด้านซ้าย กระสุนทะลุแก้ม นอนเสียชีวิตอยู่บนเตียงหน้าบ้าน นอกจากนี้ ยังพบผู้เสียชีวิตอีก 1 ศพ สภาพถูกยิงด้วยอาวุธปืนลูกซองเข้าที่ท้ายทอยเช่นเดียวกัน นอนเสียอยู่ภายในห้องนอน
สอบถามนายบุญเลิศ สายไตร อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 30/4 หมู่ 2 ต.นาสัก อ.สวี จ.ชุมพร ซึ่งเป็นเจ้าของสวนยางพาราและเป็นนายจ้างของคนตายทั้ง 2 ศพ ทราบว่า เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาตนเองเพิ่งเข้ามาเอายางในสวนไปขายในตลาด ซึ่งทั้ง 2 คนยังอยู่ปกติ จนมาเมื่อเช้าหลังทราบข่าวเดินทางมาดู พบว่าลูกน้องของตนเสียชีวิตแล้วทั้ง 2 คน โดยผู้ที่เสียชีวิตอยู่หน้าบ้านนั้นชื่อ นายน้อง อายุ 34 ปี ส่วนผู้เสียชีวิตภายในห้องชื่อ นายนาย อายุ 51 ปี โดยนายนาย นั้นมีสุขภาพไม่ค่อยดี แต่ยังทำงานได้ และอยู่กับตนมานานแล้ว
นายบุญเลิศ กล่าวว่า ส่วนสาเหตุนั้นตนเองเชื่อว่าน่าจะเป็นฝีมือนายพันธ์ เพราะก่อนหน้านั้น นายนายพันธ์ ซึ่งมีสวนยางอยู่ใกล้กันได้มาข่มขู่ลูกน้องตนหลายอย่าง ไม่ว่าจะเอาตำรวจมาจับ ข่มขู่เอาเงินบ้างและพานหาเรื่องว่าคนงานของตน และคนงานของน้องสาวตน ซึ่งอยู่ใกล้กันอีกสวน ไปลักขี้ยางของเขาเอาไปขาย ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะร้านรับซื้อยางทุกร้านใน อ.สวี จะไม่รับซื้อยางจากแรงงานต่างด้าวทุกคน และหากมีมาขายจะแจ้งให้เจ้าของสวนต่างๆ ซึ่งเป็นลูกค้าประจำได้ทราบ
นายบุญเลิศ ยังกล่าวต่อว่า ตอนนี้ตนเองเป็นห่วงลูกน้องชาวมอญของน้องสาว ซึ่งมีอยู่กัน 3 คนพ่อแม่ลูก ได้หายไปจากบ้านพัก พบเพียงเสื้อผ้าของเล่นยังอยู่ และหน้าบ้านพบสุนัขของเขาถูกยิงตายไปด้วย 1 ตัว เกรงว่าจะถูกทำร้ายและนำไปโยนทิ้ง ตอนนี้ได้ระดมคนช่วยค้นหากันอยู่
ต่อมา น.ส.มะลิวรรณ หญีตนาคราม อายุ 44 ปี อยู่บ้านเลขที่ 232 ม.19 ต.นาสัก อ.สวี จ.ชุมพร ได้แจ้งว่าตอนนี้ครอบครัว 3 พ่อแม่ลูกปลอดภัยแล้ว โดยทั้ง 3 คนได้หลบหนีไปอาศัยอยู่กับญาติด้านนอกแล้ว ซึ่งตนเองไม่อยากคิดเลยว่าหากทั้ง 3 คนไม่หนีไปก่อนหน้า จะกลายเป็นศพด้วยหรือเปล่า เพราะทางนายพันธ์ ได้มาข่มขู่ไว้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา และทั้ง 3 คนได้เอาเรื่องนี้ไปบอกคุณครูของลูกสาว และทางคุณครูได้แนะนำให้ออกมาจากพื้นที่มาก่อน
ด้าน พ.ต.อ.จักรา เสาวคนธ์ ผกก.สภ.นาสัก เปิดเผยว่า คดีดังกล่าวเกิดขึ้นหลายจุด มีคนตาย 4 ศพ ดูซ้ำซ้อนพอประมาณ แต่น่าจะเป็นไปได้ว่า เป็นบุคคลคนเดียวที่ก่อเหตุนี้ขึ้นมา แต่ทั้งนี้ต้องรวบรวมพยานหลักฐานก่อนจึงจะสามารถสรุปได้ว่าคนร้ายรายนี้เป็นใคร และเป็นคนเดียวกันหรือไม่ จึงขอเวลาสักนิด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทาง ผกก.สภ.นาสัก ได้สั่งการให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจค้นประวัตินายประพันธ์ นาคศิริ คาดว่าจะเป็นผู้ก่อเหตุ ตามพยานบุคคล เพื่อส่งให้ สภ.ต่างๆ ได้เฝ้าสกัดจับตัว ซึ่งคาดว่าเป็นผู้ที่ขับรถของนายประยงค์ สมนึก คนตายไปด้วย