ตรัง - ครอบครัวนักศึกษาวัย 17 ปี ชาว อ.ห้วยยอด จ.ตรัง ร้องถูกนำชื่อไปเปิดบัญชีออนไลน์ธนาคาร จนตกเป็นผู้ต้องหาฉ้อโกงทั่วประเทศรวม 6 คดี รวมหลายแสนบาทแล้ว ทำให้กระทบต่อการเรียนเป็นอย่างมาก
น.ส.เบญจวรรณ บัวทอง อายุ 37 ปี อยู่บ้านเลขที่ 94 หมู่ 6 ต.ห้วยนาง อ.ห้วยยอด จ.ตรัง พร้อมด้วย น.ส.วรัญญา เพชรพริ้ง อายุ 17 ปี บุตรสาว นักศึกษาชั้น ปวช. 3 วิทยาลัยแห่งหนึ่ง ร้องเรียนขอความเป็นธรรม หลังจากทราบว่าขณะนี้ น.ส.วรัญญา ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น และโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน และข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่บบุคคลใดบุคคลหนึ่ง รวมที่ทราบแล้วทั้งหมด 6 คดี มูลค่าหลายแสนบาท ซึ่งมีอยู่ 1 คดีที่ น.ส.วรัญญา ถูกนำตัวส่งศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครราชสีมา โดยตอนนี้ทางครอบครัวอยู่ระหว่างประกันตัวในชั้นศาล และต้องเดินทางไปขึ้นศาลอีกครั้งในวันที่ 24 กรกฎาคมนี้ ทำให้ครอบครัวเดือดร้อนหนัก ส่วนน้องต้องมีคดีติดตัว ต้องขาดเรียน และกู้หนี้ยืมสินเดินทางไปสู้คดี ไม่มีสมาธิในการเรียนหนังสือ
น.ส.เบญจวรรณ ผู้เป็นแม่เล่าว่า ตั้งแต่ต้นปี 2565 ตนเองและลูกสาวเริ่มได้รับหนังสือจากธนาคารกรุงเทพ แจ้งว่าบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาตรัง ถูกอายัด และส่งมาเรื่อยๆ หลายฉบับ แต่ตนเองและทุกคนในครอบครัวไม่สนใจหนังสือ โยนทิ้งทุกครั้ง เพราะเชื่อว่าน่าจะเป็นหนังสือจากแก๊งมิจฉาชีพที่มีจำนวนมาก จึงไม่ได้สนใจ เพราะไม่เคยเปิดบัญชีกับธนาคารกรุงเทพ สาขาตรัง แต่อย่างใด จนกระทั่งเมื่อประมาณดือนกรกฎาคม 2565 ได้รับหมายเรียกจาก สน.คันนายาว กรุงเทพฯ ให้ไปรายงานตัวที่ สน.คันนายาว ในวันที่ 17 ตุลาคม 2565 ว่า น.ส.วรัญญา ถูกแจ้งความคดีร่วมกันฉ้อโกง จำนวนเงิน 80,000 บาท จึงตกใจ และรีบนำหมายเรียกดังกล่าวไปให้ตำรวจ สภ.ห้วยยอด ซึ่งอยู่ในท้องที่ช่วยดูให้ โดยทางตำรวจ สภ.ห้วยยอด ได้โทรศัพท์ไปสอบถามข้อเท็จจริงเพิ่มเติมที่ สน.คันนายาว และแนะนำให้ไปรายงานตัวตามหมายเรียก ไม่เช่นนั้นจะถูกออกหมายจับ
จากนั้นตนเอง ลูกสาว และสามีได้เดินทางไปที่ สน.คันนายาว เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ และพร้อมจะเจอเจ้าทุกข์ ได้รับคำตอบว่า ชื่อของลูกสาวคือ น.ส.วรัญญา ได้ถูกนำไปเปิดบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาตรัง เลขที่บัญชี 9800534985 โดยเป็นการเปิดบัญชีแบบออนไลน์ ผ่านหมายเลขโทรศัพท์ 06-2526-8700 เพื่อหลอกให้โอนเงิน ซึ่งลูกสาวยืนยันว่า เบอร์โทร.ดังกล่าวไม่ใช่ของตน และไม่เคยเปิดบัญชีออนไลน์กับธนาคารกรุงเทพ สาขาตรัง หรือธนาคารใดๆ และไม่รู้ไม่เห็น ไม่เกี่ยวข้องกับบัญชีนี้แต่อย่างใด และเมื่อได้เจอกับเจ้าทุกข์ได้ชี้แจงให้เจ้าทุกข์เข้าใจ ทางตำรวจจึงกันให้ น.ส.วรัญญา เป็นพยาน
ต่อมา ช่วงเดือนเมษายน 2566 น.ส.วรัญญา ได้รับหมายเรียกอีกคดีจาก สภ.เมืองนครราชสีมา ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ ซึ่งทางตำรวจ สภ.ห้วยยอด แนะนำให้ไปที่ สภ.นครราชสีมา ตามหมายเรียกอีก ปรากฏว่า น.ส.วรัญญา ตกเป็นผู้ต้องหาร่วมกันฉ้อโกง ผ่านหมายเลขบัญชีเดียวกัน (กรุงเทพ สาขาตรัง) รวมจำนวน 220,000 บาท และได้พบกับเจ้าทุกข์ด้วย ซึ่งทางครอบครัวและลูกสาวยืนยันเช่นเดียวกับคดีที่ สน.คันนายาว ว่าไม่ใช่บัญชีของ น.ส.วรัญญา แต่ถูกแก๊งมิจฉาชีพนำชื่อไปเปิดบัญชีออนไลน์ แต่เจ้าทุกข์ไม่ยอม จึงจ้างฟ้องร้องดำเนินคดี จนกระทั่งขณะนี้ถูกฟ้องที่ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดนครราชสีมา เพราะน้องยังเป็นเยาวชน ทำให้ครอบครัวต้องโทรศัพท์กลับบ้านหยิบยืมเงินสด 5,000 บาท จากญาติให้โอนให้ เพื่อใช้เป็นหลักทรัพย์ยื่นประกันตัว น.ส.วรัญญา ออกมา ไม่เช่นนั้นจะติดคุกเยาวชน และไม่ได้เรียนหนังสือ
จนตอนนี้ยังต้องรายงานตัวทางออนไลน์กับศาลเยาวชนเด็กและครอบครัวจังหวัดนครราชสีมาตลอด เพราะแจ้งต่อศาลว่าไม่สะดวกในการเดินทางไป และศาลได้นัดขึ้นศาลอีกครั้งในวันที่ 24 กรกฎาคมนี้ จะต้องให้ น.ส.วรัญญา หยุดเรียนไปขึ้นศาล และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางอีกครั้ง โดยตอนนี้เท่าที่ให้ตำรวจ สภ.ห้วยยอด ตรวจสอบเลขบัญชีดังกล่าวนี้ว่ามีคดีฉ้อโกงที่ไหนอีก พบรวมแล้ว 6 คดี คือ สน.คันนายาว จำนวน 80,000 บาท กับ สภ.นครราชสีมา 220,000 บาท รวมเป็นเงิน 300,000 บาท และมีอีก 4 คดี คือ จ.เชียงใหม่ กับ จ.ขอนแก่น แห่งละ 1 คดี และที่ จ.อุดรธานี อีก 2 คดี ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นเงินรวมกันเท่าไหร่ แต่คาดว่าหลายแสนบาทแน่นอน ซึ่งทางครอบครัวไม่ทราบว่าจะต่อสู้อย่างไร เพราะไม่ได้ทำอะไรผิดเลย
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2565 ทางครอบครัวได้เดินทางไปที่ธนาคารกรุงเทพ สาขาตรัง เพื่อขอรายละเอียดการเปิดบัญชีดังกล่าว และยืนยันว่าไม่เคยเปิดบัญชีออนไลน์กับธนาคารกรุงเทพ แต่ทางธนาคารยืนยันว่าให้คิดให้ดีๆ เพราะหากไม่เปิดเองไม่มีใครเปิดให้ได้ และให้คิดให้ดีๆ ว่ารับจ้างเปิดบัญชีม้า รับเงิน 500 บาท อะไรหรือไม่ ซึ่งลูกสาวยืนยันว่าไม่เคยเปิด ซึ่งตนและลูกสาวสอบถาม ธนาคารบอกว่าในการเปิดบัญชีออนไลน์จะต้องมีการยืนยันตัวตนด้วยการใช้เลขบัตรประชาชนหน้า-หลัง และใช้วิธีการสแกนใบหน้า และจะมีรหัส OTP ส่งเข้าเบอร์โทรศัพท์ที่ทำธุรกรรม ซึ่งธนาคารบอกว่าเป็นเลขบัตรประชาชนของ น.ส.วรัญญา แต่ไม่ทราบว่าเป็นรูปของ น.ส.วรัญญาหรือไม่ เพราะธนาคารไม่ให้ดู และไม่ยอมให้หลักฐาน อ้างว่าเพราะอยู่ในคดี ต้องให้ตำรวจทำหนังสือมา ทางครอบครัวจึงได้เดินทางไปที่ สภ.ห้วยยอด แจ้งความลงบันทึกประจำวัน เพื่อไปขอหลักฐานการเปิดบัญชีอย่างละเอียด พร้อมสเตทเมนต์รายการเดินบัญชีธนาคารทั้งหมด โดยทางธนาคารบอกว่าจะส่งหลักฐานไปให้ สภ.ห้วยยอด ภายใน 2 สัปดาห์ หรือไม่เกิน 1 เดือน แต่ตอนนี้ผ่านมาเกือบครบ 1 ปีแล้วยังไม่ได้หลักฐานมาจากธนาคาร
ทั้งนี้ หลังเกิดเรื่องทางครอบครัวต้องกู้หนี้ยืมสินไปตามหมายเรียก จึงอยากขอความเป็นธรรมว่าหาก น.ส.วรัญญา ไม่ได้เป็นคนเปิดบัญชี ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่จู่ๆ มาเป็นคดีความ มาถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ทำให้ น.ส.วรัญญา เสียเวลาในการเรียน ทำให้มีคดีติดตัว และจะส่งผลกระทบต่อการทำงานในอนาคต ส่วนยอดเงินในบัญชีดังกล่าวที่ตำรวจ สน.คันนายาว ให้ดูพบว่ามีเงินสะพัดเข้าบัญชีดังกล่าวหลักล้านบาท และคิดว่าเด็กอายุขนาดนี้คงไม่มีความสามารถหาเงินได้เยอะมากขนาดนั้น ล่าสุด พบว่ามียอดเงินค้างอยู่ในบัญชีประมาณ 156,849.54 บาท คิดว่าน่าจะเป็นยอดเงินที่ถูกโอนมาจากที่คนใช้บัญชีนี้อยู่ โดยไม่ทราบว่าถูกตำรวจอายัดบัญชีไปแล้ว ยอดเลยถูกเบิกออกไปไม่ได้
ส่วนเบอร์โทรศัพท์ที่ใช้สำหรับการเปิดบัญชีออนไลน์นั้น ทางครอบครัวได้เข้าไปติดต่อที่ศูนย์เทเลวิซ สาขาโรบินสันตรัง พนักงานแจ้งมาเลยว่าเลขบัตรประชาชน 4 ตัวหลังของคนจดทะเบียนเปิดหมายเลขโทรศัพท์นี้ไม่ใช่หมายเลขบัตรประชาชน 4 ตัวหลังของ น.ส.วรัญญา แต่เขาไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นของใคร ตอนนี้ทางครอบครัวบอกไม่ถูกเลย ไม่รู้จะต่อสู้คดียังไง เพราะเราไม่ได้ทำความผิด อยากขอให้ธนาคารบอกข้อมูลหลักฐานในการเปิดบัญชีมาให้ละเอียด อยากได้รับคำแนะนำในการต่อสู้คดีเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ หรือช่องทางการร้องเรียน เพื่อให้รับการตรวจสอบอย่างจริงจัง เพื่อความเป็นธรรมของครอบครัว และ น.ส.วรัญญา ด้วย
ด้าน น.ส.วรัญญา ยืนยันว่า ไม่เคยเปิดบัญชีธนาคารกรุงเทพ ทั้งเดินทางไปเปิดที่ธนาคาร หรือเปิดออนไลน์ และโทรศัพท์ที่ตนเองมี กล้องก็ไม่ดีด้วย จึงถ่ายภาพยืนยันไม่ได้ หลังเกิดเรื่องมาทำให้เสียเวลาในการเรียน และไม่มีสมาธิในการเรียน แถมยังเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปติดต่อกับโรงพักต่างๆ ต้องใช้เงินเยอะด้วย