ข่าวเชิงวิเคราะห์ / โดย... เมือง ไม้ขม
เป็นที่คาดการณ์กันหลังเลือกตั้ง ส.ส. ภาวะสุญญากาศทางการเมืองจะถูกลากยาวไปอีกนานนับเดือน แต่เมื่อผลลัพธ์ระบุชัดประชาชนส่วนใหญ่ต้องการเปลี่ยนขั้วฝ่ายถืออำนาจรัฐ ผู้คนจำนวนมากจึงเปี่ยมด้วยความหวังว่า พลันที่ได้รัฐบาลใหม่สังคมไทยมีแต่จะดีขึ้น สิ่งนี้ยืนยันได้จากสื่อสังคมออนไลน์ที่แฮชแท็ก “กลิ่นความเจริญมาแรงมาก” ไต่ขึ้นอันดับยอมนิยมช่วงเจรจาตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่
ยิ่งเมื่อพิจารณาจากนโยบายที่ 8 พรรคการเมืองร่วมตั้งรัฐบาลใหม่ประกาศเป็น MOU ร่วมกันไว้ ประกอบกับว่าที่ ส.ส.แสดงท่าทีจริงจังกับการจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบทุกรูปแบบ ล่าสุด กรณีส่วยสติกเกอร์ทำให้ตำรวจทางหลวงถูกฟ้าผ่าเปรี้ยง และยังจะตามมาด้วยส่วยรถโรงเรียน ส่วยลอตเตอรี่ และหลังมีรัฐบาลใหม่เชื่อว่าอีกหลายกรณี โดยเฉพาะที่เคยอภิปรายในสภาจะถูกหยิกมาแก้ปัญหาด้วยเช่นกัน
จึงเชื่อว่าบรรดา “นักการเมือง” และ “ข้าราชการ” กังฉิน มีพฤติกรรมสีเทา หรือเคยสร้างความไม่ชอบธรรมกดทับประชาชนไว้มาก เวลานี้คงหนาวๆ ร้อนๆ ไปตามๆ กัน
ดังนั้น กรณีที่เคยเป็นข่าวฉาว “ครอบครัวนักการเมืองท้องถิ่น” ที่พยายามใช้อิทธิพลเถื่อนเข้ายึดครองที่ดินสวนยางชาวบ้าน และโดยเฉพาะของเครือบริษัท ทองไทยรับเบอร์ จำกัด ในพื้นที่ อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี มาต่อเนื่อง แถมช่วงหลังยังดึง “ข้าราชการฝ่ายปกครอง” บางคนในพื้นที่มาหนุนช่วย ด้วยหวังจะได้ที่ดินนับพันไร่ไปจัดสรรแบ่งปันกันชนิดที่ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมากนัก
ที่มาที่ไปของครอบครัวนักการเมืองท้องถิ่นมากอิทธิพลกลุ่มนี้เริ่มเมื่อราว 40 ปีก่อน ผู้บริหารรุ่นแรกบริษัททองไทยรับเบอร์ได้ว่าจ้าง “หนุ่มใหญ่ใจนักเลง” ให้ช่วยบุกเบิกสวนยางใน อ.ชัยบุรี แต่ร่วมงานกันได้ไม่ถึง 10 ปีก็เกิดความไม่โปร่งใสทำให้ต้องแยกทาง ตอนนั้นบริษัทยินยอมยกที่ดินให้ติดไม้ติดมือไปด้วยประมาณ 1 พันไร่ เพื่อหวังจบทุกปัญหาระหว่างกัน
แต่ภายหลังผู้บริหารรุ่นแรกทยอยเสียชีวิต เครือธุรกิจยางจึงถูกส่งต่อให้รุ่นลูก ขณะที่อดีตลูกจ้างหนุ่มก็เติบโตเป็นผู้กว้างขวาง แถมหนึ่งในลูกชายได้เป็นนักการเมืองสังกัด “บ้านใหญ่” ของภาคใต้ ทำให้เห็นลู่ทางใช้ข้อมูลเก่าแสวงหาประโยชน์จากเครือบริษัทระลอกใหม่ จึงเปิดปฏิบัติการนับแต่ต้นปี 2564 ด้วยการใช้อิทธิพลทุกรูปแบบเข้าบุกยึดทั้งที่ดินและตัดโค่นไม้ยางเอาไปขาย
ช่วงปี 2564 นั้นผู้บริหารบริษัททองไทยรับเบอร์รุ่น 2 ไม่สามารถเผชิญความกดดันจากกลุ่มอิทธิพลดังกล่าวได้ จึงยอมเจรจาและทำสัญญาต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยยอมตัดใจยกที่ดินในเครือบริษัทให้อดีตลูกจ้างที่เคยช่วยบุกเบิกสวนยางกันมาไปอีกประมาณ 300 ไร่ ซึ่งเวลานั้นผู้บริหารชุดใหม่เครือธุรกิจยางเก่าแก่ได้แต่วาดหวังว่าสามารถยุติปัญหาทั้งปวงได้
ทว่าการยอมเสียที่ดินสวนยางให้อดีตลูกจ้างไป 2 หน รวมกว่า 1,300 ไร่ กลับกลายเป็นเหมือนเติมเชื้อความโลภให้เพิ่มขึ้น ปรากฏว่าแค่เปลี่ยนศักราชสู่ปี 2566 ได้ไม่กี่วัน อดีตลูกจ้างมากอิทธิพลพร้อมลูกๆ ซึ่งรวมถึงนักการเมืองท้องถิ่นที่ชาวบ้านรู้จักในฐานะ “ส.จ.คนดัง” ผู้เป็นลูกชาย ร่วมกันระดมสมุนบริวารตะลุยบุกยึดที่ดินและตัดโค่นไม้ยางในสวนของบริษัททองไทยรับเบอร์ไปขายอีกคราครั้ง
ปฏิบัติการระลอกล่าสุดนี้ต้องนับว่าไม่ธรรมดา นอกจากใช้อิทธิพลต่อเนื่องยาวนานมาเกือบ 6 เดือนแล้ว ยังใช้กลไกของระบบราชการเข้าเกื้อหนุน โดยเฉพาะความร่วมมือจากฝ่ายปกครองในพื้นที่บางคน อีกทั้งนำวิธีการทางกฎหมายเข้าหนุนช่วยอย่างเป็นขั้นเป็นตอน จึงไม่แปลกที่คราวนี้ผู้บริษัทบริษัททองไทยรับเบอร์เข็ดหลาบ ไม่ยอมอ่อนข้อให้ ส่งผลให้เกิดการแจ้งความบนโรงพักและถึงขั้นฟ้องร้องกันในศาลนับสิบคดี
นอกจากนี้ ความไม่ธรรมดายังถูกฉายภาพให้เห็นพร้อมๆ กับข่าวที่มีการนำเสนอติดต่อกันมาหลายเดือน ไม่ว่าจะเป็นการระดมชาวบ้านที่หวังได้สวนยางไว้ทำกินกับเขาด้วย ให้มาร่วมกันก่อม็อบบุกยึดสวนยางทั้งของชาวบ้านและของเครือบริษัท บ่อยครั้งมีการใช้ผู้ใหญ่บ้าน และ อส.ที่เป็นคนของฝ่ายปกครองเข้าข่มขู่คุกคามทีมผู้รับเหมาตัดไม้ยางและคนงานของบริษัท เป็นต้น
ไม่เพียงเท่านั้น เชื่อหรือไม่ว่าระดับบิ๊กที่นั่งทำงานบนที่ว่าการอำเภอ พวกเขายังเคยนำกองกำลังในสังกัดบุกเข้าพื้นที่ตรวจค้นและยึดอุปกรณ์ตัดไม้ของผู้รับเหมาในเครือข่ายบริษัท 6-7 ครั้งภายในเดือนเดียว ซึ่งสร้างความประหลาดใจ จนผู้รับเหมาหลายรายยอมชักธงขาวถอนตัวเก็บเครื่องไม้เครื่องมือกลับบ้าน ขณะที่มีบางรายฮึดสู้ขึ้นโรงพักแจ้งความไว้เป็นหลักฐานด้วยแล้ว
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.ปรีดี ลีลาเศรษฐวงศ์ กรรมการบริหารบริษัท ทองไทยรับเบอร์ จำกัด ให้ข้อมูลผ่านสื่อไว้ว่า คณะผู้บริหารบริษัททั้งรุ่นแรกและรุ่นที่ 2 ยึดถือการทำธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล และพร้อมประนีประนอมหากมีปัญหา ซึ่งก็ปรากฏให้เห็นผ่านการยกที่ดินในเครือบริษัทให้ไปถึง 2 ครั้ง รวมแล้วกว่า 1,300 ไร่ แต่เมื่อคู่กรณีไม่ยอมหยุด นับจากนี้ต้องสู้กันด้วยกระบวนการยุติธรรมไปจนจบเรื่องราว
“เราจะไม่ยอมเสียที่ดินเพื่อยุติปัญหาชั่วคราวอีกแล้ว เพราะมีสวนยางของเครือบริษัทเพียงบางส่วนที่มีข้อพิพาทกับคู่กรณี ซึ่งมีหลักฐานรองรับทั้งหมด ดังนั้น จึงอยากให้คู่กรณีหยุดใช้อิทธิพลข่มขู่คุกคาม แล้วนำปัญหาขึ้นมาสู้กันบนโต๊ะ ไม่เล่นใต้โต๊ะ หากศาลพิพากษาออกมาเช่นไร ผู้บริหารบริษัทพร้อมน้อมรับ” ดร.ปรีดี ให้ความเห็น
เมื่อหวังเดินหน้าพึ่งพากระบวนการยุติธรรมในการต่อสู้ เวลานี้จึงมีเสียงร่ำลือในพื้นที่หนาหูว่าจะมีการฟ้องร้องตามมาอีกหลายคดี ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการพิสูจน์ให้สิ้นทุกกระบวนความ ขณะที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองรายหนึ่งเคยกล่าวกับกลุ่มนักการเมืองท้องถิ่นไว้ว่า เขาควรจะต้องได้ส่วนแบ่งที่ดินสวนยางประมาณ 300 ไร่ ก่อนที่จะต้องย้ายไปรับตำแหน่งใหญ่ขึ้นในสถานที่อื่นๆ
ดังนั้น ช่วงที่อำนาจรัฐกำลังถูกเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลชุดเก่าที่มีรากมาจากอำนาจนิยม สู่รัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังฟอร์มทีมจากพรรคการเมืองฝ่ายเสรีประชาธิปไตยที่ผ่านกระบวนการเลือกตั้งมาหมาดๆ จึงเป็นที่วาดหวังมากมายของผู้คนในสังคมว่าระบบต่างๆ จะเกิดการพัฒนาสู่สิ่งที่ดีกว่า โดยเฉพาะนักการเมืองและข้าราชการที่มีพฤติกรรมเทาๆ ต้องถูกขจัดออกไป
สังคมไทย สังคมคนใต้ ชาวจังหวัดสุราษฎร์ธานี และโดยเฉพาะชาวอำเภอชัยบุรี จึงต่างวาดหวังว่าอีกไม่นานคงได้เห็น “นักการเมือง” และ “ข้าราชการ” หยุดพฤติกรรมที่สร้างความไม่ชอบธรรมและกดทับประชาชนโดยเด็ดขาด ที่สำคัญเรื่องของคดีความที่ยังค้างคาทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งเดินหน้าให้จบโดยเร็ว