ตรัง - อดีตเลขานุการประธานสภา “ชวน หลีกภัย” มองว่าประธานสภาคนใหม่ไม่จำเป็นต้องมาจากพรรคที่มี ส.ส.สูงสุดในสภา แต่ควรมองถึงความอาวุโส และสามารถควบคุมให้การประชุมสภามีประสิทธิภาพ
นายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล อดีตเลขานุการประธานรัฐสภา นายชวน หลีกภัย กล่าวว่า การเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรนั้นเป็นตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายนิติบัญญัติ จำเป็นต้องเอาคนที่สามารถควบคุมสภาได้ ต้องประกอบด้วยความรู้ ประสบการณ์ของการทำงานในสภามาพอสมควร ยกตัวอย่างการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว ปี 2562 ที่ประชุมมีมติเลือก นายชวน หลีกภัย มาเป็นประธานสภา ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ในขณะนั้นไม่ได้มีเสียงจำนวน ส.ส.สูงสุดในสภา แต่ในสภาก็เลือกให้นายชวน เป็นประธานสภา และสามารถปฏิบัติหน้าที่จนครบวาระ
ซึ่งอันที่จริงทางกฎหมายไม่ได้บังคับ อยู่ที่สภาผู้แทนราษฎรจะเลือกใครมาดำรงตำแหน่งประธานสภา ไม่จำเป็นต้องเป็นพรรคการเมืองที่มี ส.ส.มากที่สุด ทั้งนี้ ความอาวุโสเป็นองค์ประกอบหนึ่ง เพราะในสภาเป็นที่ที่มี 500 ความคิด 500 คน ทำอย่างไรให้การประชุมสภาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงอยู่ที่การควบคุมของประธานรัฐสภา ซึ่งตนขอยกตัวอย่างว่า นายชวน เป็น ส.ส.มา 16 สมัย ประสบการณ์ในการทำงานในสภาก็เห็นมาตลอด เป็นคนที่ใช้รัฐธรรมนูญมากที่สุดในสภา และมีประสบการณ์อยู่แล้วในการเอามาใช้ปฏิบัติหน้าที่ เพราะก่อนการจะมีการประชุมสภาจะต้องมีการเตรียมตัว เรียกทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้านมาพูดคุยหาแนวทางร่วมกันในการประชุมที่มิให้เกิดความขัดแย้ง
ทั้งนี้ จากการที่ตนเองทำงานเป็นเลขานุการประธานสภาของ นายชวน หลีกภัย ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา เห็นว่าท่านเป็นคนเถรตรงมาก ระเบียบวาระเรื่องใด มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง มีข้อบังคับอะไรที่จะต้องเอามาใช้กับวาระ ตรงนี้ท่านเตรียมพร้อมมาก เชิญฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายการเมือง บางครั้งเชิญหัวหน้าพรรค ทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล หรือทางวุฒิสภามาพูดคุยประชุมหารือกัน นี่คือประสมการณ์ และความจำเป็นของคนที่จะมาดำรงตำแหน่งนี้ เพราะประธานสภายังไปเกี่ยวข้องกับการประชุมรัฐสภาด้วย รวมต้องดูแลกิจการของสภา ความสำคัญระหว่างประเทศ ความสำคัญระหว่างรัฐสภา ภารกิจในการต้อนรับแขกสำคัญ รวมถึงการแก้ปัญหานอกสภา ไม่ว่าจะเป็นพวกเดินขบวน เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ที่ส่งสัญญาณมายังสภา