การเลือกตั้งครั้งประวัติศาสตร์การเมืองไทยครั้งนี้ ต้องบอกเลยว่า พรรคการเมืองหลายพรรคต่างงัดไม้เด็ดออกมาเล่นกันดุเดือดกันเลยทีเดียว แต่จะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
เพียงแต่ครั้งนี้มีนัยทางการเมืองหลายประเด็นด้วยกันที่ทุกพรรคใช้เป็นไม้เด็ดในการหั่นนโยบายของแต่ละพรรค แต่ไม่น่าแปลกใจเลย เมื่อนโยบายดี แต่ก็ไม่ดีสำหรับพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม จึงนำนโยบายมาสู้กันบนเวทีปราศรัย แม้แต่การเดินหาเสียงเองยังโดนนำมาโจมตี จนการเมืองครั้งนี้ร้อนยิ่งกว่าสภาพอากาศในขณะนี้
ฉะนั้น กระแสหรือเสียงของผู้สมัครย่อมมีส่วนสำคัญที่จะส่งผลต่อคะแนนเสียงของแต่ละพื้นที่ มันขึ้นอยู่กับว่าใครสนับสนุนใคร หรือใครสร้างกระแสให้ใครเพื่อเป็นบันไดให้ผู้สมัครของพรรคนั้น
แต่สิ่งสำคัญที่สุด กระแสนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ หรือกระแสจะเป็นเพียงเสียงบอกเล่าของบรรดานักวิจารณ์ที่พูดถึง หวังจะสร้างกระแสบวกหรือลบให้แก่ผู้สมัคร หรือพรรคการเมืองเท่านั้น แต่ถ้าจะมาเปรียบถึงความสามารถหรือความเป็นไปได้นั้น นักวิเคราะห์ได้ให้โจทย์เพื่อให้เราผู้ใช้สิทธิสร้างความคิดแบบคนสมัยใหม่ว่า “อยากได้ ส.ส.แบบไหน หรืออยากได้ ส.ส.เป็นนักพัฒนามีแนวคิดเพื่อประชาชน หรืออยากได้ ส.ส.แบบโบราณที่เข้าไปอยู่ในสภาแล้วนั่งหลับ! ไม่กล้าไม่พูดอะไรเลย…”
ส.ส.ควรจะต้องเป็นคนที่เก่ง มีความสามารถในทุกด้าน จะเป็นชายหรือหญิงก็ถือเป็นบุคคลที่ประชาชนให้การยอมรับและเลือกให้เข้ามาอยู่ในสภา เพื่อเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน ฉะนั้นให้มาดูผู้สมัคร ส.ส.ในพื้นที่ของตัวเองว่ามีใครกันบ้าง แล้วลองมาเปรียบดูว่าแต่ละคนนั้นใครที่เคยมีตำแหน่ง ใครที่เคยเข้าไปอยู่ในสภาและพูดในสภา นำปัญหาในพื้นที่พูดในสภา ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่อย่างจริงจัง จับมือกับหน่วยงานรัฐ ไม่เคยมีประวัติในทางการเมืองในด้านลบ และใครที่เคยพูดบนเวทีโลก เวทีระดับอาเซียนจนได้รับการยกย่อง สร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทยในนามตัวแทนพรรคและคนในชาติ
ฉะนั้น พรรคต่างๆ ควรเอาเป็นแบบอย่าง ไม่ใช่มั่วแต่โจมตีพรรคตรงข้ามแล้วปลุกกระแสว่าพรรคตนเองดีเป็นของพี่น้อง เลือกแล้วจะได้บุญ...จริงหรือนี่!!
ลองมาดูการเมืองชายแดนใต้กันบ้าง เมื่อนักวิเคราะห์การเมืองชายแดนใต้ได้ยกย่องสตรีนักการเมืองท่านหนึ่งที่มีสายเลือดทางการเมืองที่เข้มข้น มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ การศึกษาดี ผ่านเวทีระดับนานาชาติและเหมาะสมที่จะเลือกมานั่งเก้าอี้ในสภา เพื่อเป็นตัวแทนของคนชายแดนใต้เพราะผลงานชัดเจนเป็นที่ยอมรับ คือ แพทย์หญิงเพชรดาว โต๊ะมีนา หรือหมอจอย อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ ปัจจุบันเป็นผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคภูมิใจไทย เบอร์ 4 เขต 1 ปัตตานี
พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา เป็นบุตรสาวของ เด่น โต๊ะมีนา อดีตรัฐมนตรีและแกนนำกลุ่มวาดะห์ และเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของหะยีสุหลง ผู้นำของชาวไทยเชื้อสายมลายูมุสลิม โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี วิทยาศาสตรบัณฑิต และแพทยศาสตรบัณฑิต จาก National University of Malaysia ประเทศมาเลเซีย และปริญญาโท รัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการเมืองการปกครอง จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตเคยรับราชการในกระทรวงสาธารณสุข เป็นอดีตผู้อำนวยการศูนย์สุขภาพจิตที่ 15 รับผิดชอบพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ปี พ.ศ.2548 พญ.เพชรดาว โต๊ะมีนา ได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ และได้รับแต่งตั้งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการให้คำปรึกษาทางจิตวิทยาและการฟื้นฟูเหยื่อจากการก่อการร้ายองค์การสหประชาชาติ UNCCT United Nation Counter - Terrorism Center ตั้งแต่ปี 2558 ถึงปัจจุบัน
และที่สำคัญในระดับโลกนั้นยังเป็นประธานสมาชิกรัฐสภาสตรี ในการประชุมรัฐสภาภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ครั้งที่ 30 เวทีที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติของรัฐสภา รวมไปถึงการประชุมในเวทีโลกที่นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งครั้งนี้ พญ.เพชรดาว ได้ตอบคำถามจากผู้ร่วมประชุมชาวต่างชาติว่า ชุดที่สวมใส่เป็นชุดสตรีมลายู และตนมาจากปัตตานี ประเทศไทย ซึ่งคำตอบนี้ทำให้ชาวต่างชาติรู้จักประเทศไทยมากขึ้นในเรื่องของพหุวัฒนธรรมมตามที่ พญ.เพชรดาว ได้ตอบไป
นักวิเคราะห์การเมืองชายแดนใต้ มองว่า พญ.เพชรดาว หรือหมอจอย เธอผู้นี้ถือเป็นผู้นำสตรีคนสำคัญในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ หลายคนคงจะยังไม่รู้จักมากนัก แต่เธอผู้นี้ทำงานในพื้นที่ชายแดนใต้มาตลอด และรู้ปัญหาพื้นที่เป็นอย่างดี ครั้งหนึ่งเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ ยังได้ต่อสู้ขอความยุติธรรมให้ประชาชนในพื้นที่ นำเรื่องเข้าสภา พูดในสภาจนเป็นดาวจรัสแสงเป็นหน้าเป็นตาให้ชาวชายแดนใต้ เป็นที่รู้จักในฐานะ "สตรีเหล็ก" แห่ง 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่ยืนหยัดเคียงข้างผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบมาตลอด 9 ปีเต็ม
จากกระแสว่า “ผู้หญิงทำงานไม่ได้ เป็น ส.ส.ก็ไม่ได้ และเป็นผู้นำไม่ได้” กระแสเช่นนี้ผู้ที่พยายามเพื่อหวังทำลายเส้นทางการเมืองควรกลับมาคิดใหม่จะดีที่สุด ดูอย่าง พันโทหญิง ลัดดา แทมมี่ ดักเวิร์ธ” หญิงลูกครึ่งไทย-อเมริกัน วัย 52 ปี เป็นหญิงไทยคนแรกที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในรัฐสภาของสหรัฐอเมริกา ในตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาของรัฐอิลลินอยส์ หลังจากคว้าชัยชนะการเลือกตั้งเหนือ นายมาร์ค เคิร์ก จากพรรครีพับลิกัน เธอผู้นี้เก่งและสามารถขึ้นเป็นผู้นำเดินนำหน้าสุภาพบุรษได้อย่างเฉิดฉาย ฉะนั้น พญ.เพชรดาว ถือเป็นสุภาพสตรีอีกหนึ่งท่านเชื่อว่าจะสามารถทำงานในสภาเป็นตัวแทนปากเสียงของประชาชนได้เป็นอย่างดีอย่างที่เราๆ เคยติดตามมาแล้ว
การเมืองการเลือกตั้งของเขต 1 ปัตตานี จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่ดุเดือด เพราะทุกพรรคทุกผู้สมัครพยายามงัดวิชาหาเสียงกันชนิดลุยทุกซอกทุกมุมเมือง หัวหน้าพรรคหลายพรรคก็ขยันลงหาเสียงช่วยผู้สมัครสลับไปมา ต่างกับบางพรรคที่ยังคงหาเสียแบบวนปราศรัยตามพื้นที่ชายแดนใต้ โดยการป้ายสีผู้สมัครและพรรคอื่น ทำให้ถูกกระแสตีกลับไปว่าเป็นพรรค “ไม่ดูตัวเอง ยิ่งพูดยิ่งเสีย” เพราะทุกครั้งเมื่อปราศรัยจะใช้ความถนัดของพรรคในการป้ายสี ดึงศาสนาให้ประชาชนเข้าใจไปในทางของพรรคตนเอง ซึ่งผู้ฟังปราศรัยหลายกลุ่มกลับมาให้ข้อมูลว่า “ต้องย้อนกลับดูตัวเองก่อนที่จะกล้าพูดว่า พรรคตนเองไม่เคยซื้อเสียง แต่คงลืมบอกประชาชนว่า ใช้เงินนายทุนหมดแล้ว!!”
นักวิเคราะห์ยังระบุว่า พญ.เพชรดาว ก่อนหน้านี้ถูกกระแสโจมตีว่า เป็นผู้หญิงที่ไม่สามารถจะทำงานการเมืองและเป็นผู้นำไม่ได้เพราะผิดหลักศาสนา จากที่ถูกโจมตีสร้างกระแสให้ประชาชนคิดตามนั้น
เชื่อหรือไม่ว่า เวลานี้เสียงของกลุ่มสตรีทั้งเขต 1 หันมายิ้มใสๆ ให้ “หมอจอย” เทเสียงเทกำลังใจที่ล้นเมือง พร้อมกับกลุ่มประชาชนทุกเชื้อสายทุกอาชีพในเมือง เพราะด้วยความรู้ ความเข้าใจและความสามารถ หมอจอยคนนี้เป็นคนเก่งและเก่งกว่าท่านอื่นที่ติดบนป้ายในเวลานี้ หากได้เข้าไปในสภาจะสามารถทำงานการเมืองช่วยเหลือแก้ปัญหาชายแดนภาคใต้ได้แน่นอน
จนนักวิเคราะห์การเมืองชายแดนใต้ พยายามส่งสัญญาณถึงประชาชนว่า พญ.เพชรดาว เข้าสภาจะไม่ผิดหวังแน่อน!!