xs
xsm
sm
md
lg

“ไพร พัฒโน” เขตเลือกตั้งที่ 3 อีกหนึ่งความหวังของ ‘ภูมิใจไทย’ ในการได้ ส.ส.เพิ่มที่ จ.สงขลา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



โดย.. เมือง ไม้ขม

โค้งสุดท้าย” หรือ “ไม้ที่ 3” ของการวิ่งแข่งเข้าสู่เส้นชัยสำหรับการหาเสียงในการลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในครั้งนี้ โดยเฉพาะสมรภูมิในจังหวัดสงขลา ที่มีเขตเลือกตั้งรวม 9 เขต ซึ่งทุกเขตเลือกตั้งไม่มีพรรคการเมืองไหนที่จะได้ “กินหมู” เพราะในทุกเขตเลือกตั้ง ผู้สมัครทุกคนและพรรคการเมืองทุกพรรคต่างสู้กันจนถึงฎีกา ไม่มีใครยอมเกี้ยเซี๊ยะให้แก่ใคร มีแต่จะสู้กันแบบถวายหัว

สำหรับ “พรรคประชาธิปัตย์” ต้องการที่จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งในสนามการเมืองของจังหวัดสงขลา เพราะ “ประชาธิปัตย์” มีอดีตที่ยิ่งใหญ่ ที่ผ่านมา เลือกตั้งในสงขลาต้อง “ยกจังหวัด” โดยตลอด โดยเฉพาะหลังจากที่ “จ.ส.ต.อนันต์ เรืองกูล” ส.ส.พรรคกิจสังคม ยุติบทบาททางการเมือง

การเลือกตั้งเมื่อปี 2562 “ประชาธิปัตย์” ต้องพ่ายแพ้อย่างหมดรูป ต้องสูญเสียที่นั่งให้พรรคเกิดใหม่อย่าง “พลังประชารัฐ” ที่ถูกมองว่าเป็นพรรคเฉพาะกิจ และ “พรรคภูมิใจไทย” ที่ถูกมองว่าเป็นม้านอกสายตา ที่ทำให้ “ประชาธิปัตย์” เหลือ ส.ส.สงขลาเพียง 3 ที่นั่ง จากทั้งหมด 8 ที่นั่งด้วยกัน นั่นหมายถึงความเจ็บปวดที่ต้องกล้ำกลืนด้วยการรอคอยถึง 4 ปี เพื่อขอแก้มือในการเลือกตั้งครั้งใหม่ในครั้งนี้ ซึ่งขุนพลของ “ประชาธิปัตย์” ทั้งหลายต่างเชื่อมั่นว่า “ประชาธิปัตย์” จะกลับมายิ่งใหญ่และจะยกจังหวัดอีกครั้ง

แต่… เมื่อการเลือกตั้งเข้าสู่โค้งสุดท้าย ภาพที่ปรากฏของ “นักวิ่ง” หรือผู้สมัครที่เป็น “ตัวเต็ง” ของแต่ละพรรคในสนามแข่งขันเริ่มเห็นชัดเจนว่า ใครกำลังนำใคร และมีปัจจัยอะไรที่เกื้อหนุนให้ผู้สมัครพรรคไหนได้เป็น ส.ส. ที่ประชาชนต้องการ

โดยเฉพาะในเขตเลือกตั้งที่ 3 ของจังหวัดสงขลา ที่ประกอบด้วย อ.นาหม่อมทั้งหมด ต.ทุ่งใหญ่ ต.ท่าข้าม ต.คอหงส์ ต.บ้านพรุ ต.บ้านไร่ และ ต.พะตง ของ อ.หาดใหญ่ ต.คลองเปียะ ต.จะโหนง ของ อ.จะนะ เป็นเขตที่มีการแข่งขันอย่างเข้มข้น ระหว่าง “ไพร พัฒโน” นักการเมืองรุ่นเก๋า ซึ่งอยู่ในสนามการเมืองมายาวนาน เคยเป็น ส.ส.หลายสมัยของพรรคประชาธิปัตย์ใน จ.สงขลา เคยเป็นนายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ และโบกมือบ๊ายบายจากพรรคประชาธิปัตย์ด้วยเหตุผลว่า ไม่มีที่จะให้หยัดยืนในการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 ดังนั้น ในการเลือกตั้งปี 2566 “ไพร พัฒโน” จึงเปลี่ยนสีเสื้อมาเป็นผู้สมัครเขต 3 ของพรรคภูมิใจไทย

สำหรับคู่แข่งของ “ไพร พัฒโน” ครั้งนี้คือ “สมยศ พลายด้วง” หรือ “โกถึก” แห่งค่ายประชาธิปัตย์ เป็นผู้รับเหมารายใหญ่ที่รับงานของ อบจ.สงขลา เป็นผู้รับเหมาที่นักการเมืองใน จ.สงขลา “รู้จักมักคุ้น” ในนิยาม “ใจถึงพึ่งได้” โดย “โกถึก” มีพื้นเพเป็นคน อ.กระแสสินธุ์ จ.สงขลา ซึ่งอยู่ในเขตเลือกตั้งที่ 4 แต่ในการลงสมัคร ส.ส.ครั้งนี้เลือกที่จะปักธงมุ่งหวังเพื่อการเป็น ส.ส.ในเขตเลือกตั้งที่ 3 เพราะเป็นเขตที่ “ประชาธิปัตย์” ไม่มีตัวแทน เนื่องจากอดีต ส.ส.ของเขต 3 ของพรรคประชาธิปัตย์ คือ “วิรัตน์ กัลยาศิริ” ได้ถึงแก่กรรม

ส่วนอดีต ส.ส. ที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนเมื่อปี 2562 คือ “พยม พรหมเพชร” ที่เดิมอยู่พรรคพลังประชารัฐ แต่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ได้ย้ายมาอยู่ “รวมไทยสร้างชาติ” ที่มี “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีเป็นโต้โผใหญ่ โดยหวังกระแสของ “ลุงตู่” ในการได้เข้าสภาเป็น ส.ส.สมัยที่ 2

ทั้งนี้ การหาเสียงในเขตเลือกตั้งที่ 3 ในช่วงต้นน้ำ หลังจากการออกสตาร์ท สายตาของทุกฝ่ายต่างจับจ้องไปยัง “สมยศ พลายด้วง” ที่มีความพร้อมทางการเงินมากที่สุด และลงพื้นที่ทำงานการเมือง โดยรวมรวมเอาผู้นำท้องที่ ท้องถิ่นมาอยู่ในสังกัดได้มากกว่าผู้สมัครจากพรรคคู่แข่ง ซึ่งคือพรรคภูมิใจไทยและพรรครวมไทยสร้างชาติ ด้วยสโลแกน “ใจถึงพึ่งได้” ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่า “สมยศ พลายด้วง” คือผู้ที่จะได้รับเลือกให้เป็น ส.ส. ในเขต 3 ค่อนข้างชัวร์

แต่หลังจากที่ “ไพร พัฒโน” และทีมงาน ลงพื้นที่ในการพบปะประชาชนในรูปแบบการเข้าถึงชาวบ้าน เข้าถึงจิตใจและปัญหาของคนในพื้นที่ และอาศัยความเป็น “ไพร พัฒโน” ที่เคยเป็นอดีต ส.ส.ในเขตนี้มาก่อน รวมทั้ง “ไหว พัฒโน” ผู้เป็นบิดาของ “ไพร” เคยเป็น ส.ส.ในเขตนี้เช่นกัน” ดังนั้น สายสัมพันธ์ของคนในพื้นที่กับ “ไพร” จึงยังมีเยื่อใยมากกว่าผู้สมัครที่เป็นคู่แข่งที่ยังถูกมองว่าเป็นคนถิ่นอื่น รวมทั้งประสบการณ์ทางการเมืองที่ยาวนานของ “ไพร พัฒโน” ทำให้อ่านเกมการเมืองออกและแก้ไขสถานการณ์ของการแข่งขันได้ดีกว่า

จุดที่เสียเปรียบของ “ไพร พัฒโน” จึงมีเพียงประเด็นเดียวคือ “กระสุน” ที่สู้กับคู่แข่งไม่ได้ แต่หลังจากที่โพลจากหลายสำนัก ทั้งจากสื่อระดับชาติและจากหน่วยงานความมั่นคงได้เผยแพร่ออกมาสู่สาธารณะ ที่ปรากฏว่า “ไพร พัฒโน” มีคะแนนมาที่ 1 “สมยศ พลายด้วง” มาเป็นที่ 2 และ “พยม พรหมเพชร” มาเป็นที่ 3 ยิ่งทำให้กระแสของ “ไพร พัฒโน” ถูกกล่าวขวัญจากคนในพื้นที่ ทำให้คะแนนนิยมของ “ไพร พัฒโน” เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเกจิทางการเมือง ต่างเชื่อว่าถ้า “ไพร พัฒโน” รักษากระแสเอาไว้ได้ และฝ่ายของคู่แข่งใช้ “กระสุน” ยิงเป้าหมายไม่ได้ โอกาสที่ “ไพร พัฒโน” ผู้สมัครจากพรรคภูมิใจไทย จะได้หวนคืนสู่สภาผู้แทนราษฎรมีโอกาสที่สดใสกาววาวยิ่งนัก

ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า “ไพร พัฒโน” จะรักษากระแสของผู้สมัครที่มีคะแนนมาเป็นอันดับ 1 ได้อย่างไร ผู้สมัครที่เป็นคู่แข่งที่มีความพร้อมทางการเงินมากที่สุด จะแก้เกมเพื่อสร้าง “กระแส” และ “คะแนนนิยม” เพื่อการขึ้นมาเป็นผู้สมัครที่มีคะแนนเป็นอันดับ 1 ได้อย่างไร รวมทั้งจะเป็นการพิสูจน์ว่า โพลที่เป็นการสำรวจจากหลายสำนักเชื่อถือได้หรือไม่

สำหรับ “ไพร พัฒโน” นั้นถือว่า ผลโพลที่ออกมาเป็นบวก ทำให้กระบวนการจัดการในการเดินหน้าเพื่อเข้าถึงชาวบ้านเป็นไปอย่างฮึกเหิมมากกว่าเดิม เพราะจากข้อเท็จจริงของคนในพื้นที่ ซึ่งไม่เกี่ยวกับผลโพลยังพบว่า มีอีกหลายพื้นที่ที่คะแนนเสียงของ “ไพร พัฒโน” ยังพ่ายแพ้คู่แข่งอยู่ และแม้แต่ในเขตเทศบาลเมืองคอหงส์ ที่เป็นเขตเมืองของ อ.หาดใหญ่ คะแนนนิยมของ “ไพร พัฒโน” ยังสูสีกับคู่แข่งคนสำคัญ

อย่างไรก็ตาม จากคะแนนนิยมและจากผลโพลที่ระบุว่า “ไพร พัฒโน” มีคะแนนนำ น่าจะทำให้ “พิพัฒน์ รัชกิจประการ” หรือ “โกเกี๊ยะ” แม่ทัพใหม่ของพรรคภูมิใจไทยในพื้นที่ภาคใต้ หายใจได้โล่งขึ้น เพราะมั่นใจว่า น่าจะปักธงของ “ภูมิใจไทย” ใน จ.สงขลาได้แล้ว 2 เขต คือ เขต 7 ที่ผลโพลระบุว่า “ณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ” อดีต ส.ส.ของพรรคภูมิใจไทยมีคะแนนนำ “ศิริโชค โสภา” คู่แข่งจากพรรคประชาธิปัตย์” และเขต 3 “ไพร พัฒโน” ที่มีคะแนนนำ “สมยศ พลายด้วง” ส่วนเขตอื่นๆ อีก 2 เขตของ จ.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ยังประมาทผู้สมัครของพรรคภูมิใจไทยไม่ได้เช่นกัน

และที่สำคัญของการเลือกตั้งใน จ.สงขลาครั้งนี้คือ จะได้เห็นการแก้เกมของ “ประชาธิปัตย์” ที่ถูกมะรุมมะตุ้มจากพรรคการเมืองใหญ่ ทั้งรวมไทยสร้างชาติ พลังประชารัฐ ภูมิใจไทย และชาติพัฒนากล้า ที่มีความพร้อมในการแย่งชิงที่นั่ง ส.ส.เขตจากพรรคประชาธิปัตย์ และยังมี “ก้าวไกล” และ “เพื่อไทย” ที่คาดว่าจะแย่งชิงคะแนน “ปาร์ตี้ลิสต์” ใน จ.สงขลาอย่างเป็นกอบเป็นกำ ทั้งหมดคือการลุ้นระทึกสำหรับประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย


กำลังโหลดความคิดเห็น