รายงานโดย : ศูนย์ข่าวหาดใหญ่
เรื่องการใช้ “อิทธิพลมืด” กดทับผู้ที่อ่อนแอกว่าเพื่อแสวงประโยชน์ยังคงเป็นปัญหารุนแรงในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะถ้าเกิดจากน้ำมือ “นักการเมือง” และ/หรือ “ข้าราชการ” ด้วยแล้ว ความรุนแรงยิ่งมีแต่จะมากขึ้น แถมหากมีปัจจัยเกื้อหนุนอื่นๆ สมทบเข้ามาด้วย นั่นมีแนวโน้มจะทำให้ความรุนแรงทบเท่าทวีคูณเพิ่มไปอีก
ท่ามกลางปี่กลองในสนามเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วประเทศในเวลานี้ ซึ่งโยงใยให้เห็นชัดเจนถึงสายสัมพันธ์เชื่อมต่อของ “บ้านใหญ่” ไล่เลียงลงไปยัง “นักการเมือง” กับ “ข้าราชการ” ท้องถิ่นด้วยแล้ว หากผู้กดทับเป็นพวกที่มี “ปลอกคอ” ของบ้านใหญ่ปรากฏให้เห็นเด่นชัด สิ่งนี้มีแต่จะเพิ่มแรงกดทับแบบทบเท่าทวีคูณได้เฉกเช่นกัน
เวลานี้ที่ภาคใต้มีข่าวตามหน้าสื่อมาหลายเดือน กรณี “นักการเมืองท้องถิ่น” (บางกลุ่ม) ร่วมมือกับ “นักปกครองท้องที่” (บางคน) แสดงอำนาจบาตรใหญ่ ทั้งลุยเองและส่งกลุ่มคนบุกรุกและคุกคามหวังยึดที่ดินสวนยางของเครือบริษัท ทองไทยรับเบอร์ จำกัด แถมยังพ่วงเอาที่ดินชาวบ้านข้างเคียงเข้าไปด้วย ในพื้นที่ อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังมานานเกือบ 50 ปีแล้ว
ใช้วิธีเดิมๆ ทั้งบุกข่มขู่คุกคามด้วยตัวเอง นำคนเข้าไปตัดไม้ยางขายแบบซึ่งหน้า ให้หน่วยงานที่ร่วมมือส่งเจ้าหน้าที่ลุยตรวจสอบแล้วยัดข้อหาผิดระเบียบหรือกฎหมาย ล่าสุด หลอกระดมชาวบ้านร่วมกันบุกยึดสวนยางแบบไม่เกรงกลัวฟ้าดิน ด้วยวาดหวังว่าหากทำสำเร็จสามารถนำที่ดินไปแบ่งให้ชาวบ้านรายละ 3-5 ไร่ ส่วนตัวการที่อยู่เบื้องหลังอาจจะปันกันได้ถึงคนละ 300-500 ไร่เป็นอย่างน้อย
ความจริงแล้วกลุ่มการเมืองท้องถิ่นนี้เคยมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับผู้บริหารบริษัทรุ่นแรก ด้วยคนรุ่นพ่อเคยรับจ้างบริษัทร่วมบุกเบิกสร้างสวนยางหลายพันไร่บริเวณนี้เมื่อราว 40 ปีมาแล้ว แต่ร่วมมือกันได้ไม่ถึง 10 ปีกลับมีเหตุส่อว่าไม่ซื่อสัตย์ ทำให้ตกลงแยกทางโดยฝ่ายบริษัทยอมตัดแบ่งที่ดินให้ติดไม้ติดมือลูกจ้างรายนี้กลับไปด้วยกว่า 1,000 ไร่เป็นที่พออกพอใจต่อกัน
แต่แล้วเมื่อผู้บริหารบริษัทรุ่นบุกเบิกทยอยเสียชีวิตช่วง 10 ปีมานี้ กิจการได้ตกทอดถึงรุ่นลูกๆ ปรากฏว่าพ่อนักการเมืองท้องถิ่นที่เคยรับจ้างบุกเบิกสวนยางร่วมกันมาเห็นช่องทางแสวงประโยชน์ ประกอบกับอาศัยที่ลูกชายได้เป็น “ส.อบจ.” สวมปลอกคอบ้านใหญ่ จึงเปิดปฏิบัติการใช้อิทธิพลเข้าข่มขู่คุกคามทุกรูปแบบเพื่อขอแบ่งที่ดินและผลประโยชน์เพิ่มช่วงประมาณ 3 ปีมานี้
เริ่มจากปี 2564 ผู้พ่อได้ร่วมมือกับลูกชายทั้ง 3 คนสร้างเงื่อนไขให้เกิดข้อพิพาทที่ดินระลอกใหม่ แล้วบานปลายถึงขั้นแจ้งความดำเนินคดีกัน สุดท้ายความที่ผู้บริหารบริษัทรุ่นใหม่ไม่อยากค้าความให้ยืดยาว ยินยอมทำสัญญาต่อหน้าตำรวจ สภ.ชัยบุรี ยกสวนยางให้ไปกว่า 300 ไร่ด้วยหวังยุติปัญหาทั้งหมด
แต่แล้วความที่ใช้อิทธิพลล่าผลประโยชน์จนเคยตัว หลังเปลี่ยนศักราชสู่ปี 2566 แค่วันสองวันก็เปิดปฏิบัติการบุกรุกคุกคามอีกหน แถมคราวนี้ดึงข้าราชการฝ่ายปกครองในพื้นที่ที่มีนามสกุลเดียวกับบ้านใหญ่ให้ร่วมมือด้วย ส่งผลให้ผู้บริหารบริษัทสุดกล้ำกลืนฝืนทน จึงไม่แปลกแค่ 4 เดือนมานี้มีการค้าความกันทั้งบนโรงพัก และในชั้นศาลกันไปแล้วมากมาย
ตัวอย่างเช่นบริษัทแจ้งความไว้ที่ สภ.ชัยบุรี หลายคดีในข้อหาบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์ ลักทรัพย์ เนื่องจากมีการนำ อส.ราว 20 นายพร้อมอาวุธครบมือบุกยึดสวนยางและขับไล่คนงานออกนอกพื้นที่ ตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2566 แล้วยังทำซ้ำๆ ต่อเนื่องถึงปัจจุบันหลายระลอก
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดเวียงสระ และศาลได้พิจารณาให้การคุ้มครองชั่วคราวแบบฉุกเฉินไว้แล้ว จนเคยเป็นข่าวครึกโครมช่วงมีนาคม 2566 กรณีศาล “ออกหมายจับพ่อนักการเมืองท้องถิ่นเครือข่ายบ้านใหญ่เมืองสุราษฎร์ฯ” ฐานขัดคำสั่งไม่หยุดใช้อิทธิพลข่มขู่ คุกคาม บุกตัดต้นยางและกระทำการยึดที่ดินสวนยางเครือทองไทยรับเบอร์
ไม่เพียงเท่านั้นบริษัทยังทำเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมไปยังทุกหน่วยงาน อย่างกระทรวงมหาดไทยผ่านรองปลัด คณะกรรมาธิการยุติธรรมของวุฒิสภา อีกทั้งมีการประสานแจ้งให้ทุกหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่รับทราบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ผู้บังคับการตำรวจภูธร (ผบก.ภ.จว.) สุราษฎร์ธานี ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 (ผบช.ภ.8) และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 (กอ.รมน.ภาค 4) เป็นต้น
เป็นที่จับตากันต่อไปอีกว่า อาจจะมีการฟ้องร้องดำเนินคดีฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบต่อ “ข้าราชการฝ่ายปกครอง” ในพื้นที่ หลังก่อนหน้ามีตัวแทนกลุ่มผู้รับจ้างตัดไม้ยางให้บริษัทได้แจ้งความดำเนินคดีไว้แล้วที่ สภ.ชัยบุรี กรณีนำกำลัง อส.บุกเข้าตรวจจับและยึดอุปกรณ์ ซึ่งน่าจะเป็นการกลั่นแกล้งเพราะกระทำถึง 6-7 ครั้งภายในเดือนเดียว
เกี่ยวกับเรื่องนี้ผู้บริหารบริษัททองไทยรับเบอร์ให้ข้อมูลว่า ที่ดินสวนยางในพื้นที่ อ.ชัยบุรี ล้วนมีเอกสารสิทธิถูกต้อง จำนวนมากเป็น น.ส.3 ก. มีเพียงบางส่วนเป็น ส.ป.ก. และซ้อนทับเขตป่าสงวน แต่พิสูจน์แล้วว่าได้มาก่อนประกาศเขตป่าสงวน ซึ่งหากยังมีที่ดินสวนยางแปลงไหนไม่ชัดเจนบริษัทก็พร้อมคืนให้ราชการ
วันนี้สิ่งที่ผู้บริหารบริษัทอยากเห็นคือ กรณีพิพาทที่เกิดขึ้นกับอดีตลูกจ้างและครอบครัว ซึ่งเวลานี้มีข้าราชการผู้ใหญ่ในพื้นที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนั้น ขอให้กระบวนการยุติธรรมที่จะทำการพิสูจน์มี “ความเป็นธรรม” อีกทั้งการใช้ “กฎหมู่แทนกฎหมาย” ควรต้องหมดไปแล้วเสียที
ที่นับว่าสำคัญที่สุดและจะก่อประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริงคือ การใช้อิทธิพลทั้งทางการเมืองและระบบราชการกลั่นแกล้งกันต้องไม่เกิดขึ้นอีก ถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยต้องไม่ปล่อยให้กลุ่มคนใช้กลโกงทุกรูปแบบฉกชิงทรัพย์สินหรือที่ดินที่ประชาชนหรือผู้ประกอบการได้มาถูกต้องไปเป็นของตนเอง
กรณีที่เกิดขึ้นกับบริษัททองไทยรับเบอร์ย่อมไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หรือเป็นเรื่องที่สังคมจะมองข้ามไปง่ายๆ แน่นอน เพราะฝ่ายที่ถูกกดทับเป็นถึง “นิติบุคคล” ที่มีความพร้อมต่อสู้ทางกฎหมาย แต่กลับยังถูก “กลุ่มอิทธิพล” เล่นงานได้ขนาดนี้ ถ้าเป็นชาวบ้านธรรมดาที่ขีดความสามารถปกป้องตนเองต่ำหรือมีไม่มากนักจะเป็นอย่างไร
เหตุผลที่นำเสนอเรื่องนี้เพื่อตอกย้ำให้ทุกหน่วยงาน โดยเฉพาะฝ่ายพลเรือนและตำรวจได้ร่วมกันหาทางแก้ไขเร่งด่วน โดยเฉพาะผู้ว่าฯ สุราษฎร์ธานี ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี และ ผบช.ภ 8 รวมถึงให้ กอ.รมน.ภาค 4 ได้รับทราบว่าเวลานี้ใน อ.ชัยบุรีมี “กลุ่มนักการเมืองท้องถิ่น” ร่วมมือกับ “ข้าราชการฝ่ายปกครอง” ก่อเหตุหวังฮุบที่ดินของเครือธุรกิจยางเก่าแก่ที่ร่วมสร้างความเจริญ สร้างงานและสร้างรายได้ให้คนในภาคใต้มาอย่างยาวนาน
หากปล่อยไว้อาจสร้างภาพลบกระทบต่อการลงทุนไม่เฉพาะใน อ.ชัยบุรีเท่านั้น หากยังรวมทั้ง จ.สุราษฎร์ธานีและภาคใต้ อีกทั้งไม่เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติแน่นอน ที่สำคัญถือเป็นตัวอย่างเลวร้ายที่คนของภาครัฐกลายเป็น “โจรในเครื่องแบบ” ที่ไม่สมควรจะให้เกิดขึ้นอีก
สุดท้ายขอฝากเป็นพิเศษถึง “สุทธิพงศ์ จุลเจริญ” ปลัดกระทรวงมหาดไทย “แมนรัตน์ รัตนสุคนธ์” อธิบบดีกรมการปกครอง ช่วยตรวจสอบและแก้ไขปัญหาโดยด่วน รวมถึงฝาก “พล.ท.ศานติ ศกุลตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4 ในฐานะ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ช่วยกวาดล้างอิทธิพลมืดให้หมดไปจากภาคใต้ ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเป็นธรรมและคุณประโยชน์ให้แผ่นดิน
ถึงเวลาแล้วที่ช่วงปี่กลองเลือกตั้ง ส.ส.กำลังดังกระหึ่ม สังคมไทยต้องทำให้ “อิทธิพลมืด” ทุกรูปแบบหมดไปจากแผ่นดิน โดยเฉพาะพื้นที่ อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี หาใช่แผ่นดิน “ชายขอบ” หรือ “ไกลปืนเที่ยง” หวังว่าคงไม่ต้องรอให้ถึงช่วงหลังเลือกตั้งที่คาดการณ์กันว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะหากทำได้รวดเร็วมีแต่จะช่วยลดทอนความรุนแรงลงได้มากเท่านั้น