xs
xsm
sm
md
lg

สีสันย่านเมืองเก่า ถนนนางงามสงขลา แหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของนักท่องเที่ยว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - สีสันย่านเมืองเก่า ถนนนางงาม เขตเทศบาลนครสงขลา แหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและมาเลเซีย ทั้งได้กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมือง และยังมีร้านอร่อยให้ได้ลิ้มลองกว่า 10 ร้าน

ย่านสงขลาเมืองเก่า ถนนนางงาม เขตเทศบาลนครสงขลา อ.เมือง จ.สงขลา ซึ่งเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสงขลา สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองสงขลามาอย่างยาวนาน และเป็นที่เคารพนับถือของชาวสงขลา และนักท่องเที่ยวชาวจีนในมาเลเซียที่เข้ามากราบไหว้สักการะทุกครั้งที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยว ทำให้ถนนสายนี้คึกคัก มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวจีนในมาเลเซียเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก นอกจากมากราบไหว้สักการะศาลเจ้าพ่อหลักเมืองแล้ว ยังมีร้านอาหารอร่อยๆ อยู่หลายสิบร้านให้นักท่องเที่ยวได้ชิมอีกด้วย


ซึ่งศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสงขลา เป็นโบราณสถานในสมัยรัตนโกสินทร์ ลักษณะจะเป็นศาลเจ้าแบบเก๋งจีน สร้างขึ้นในสมัยพระยาวิเชียรคีรี (เถี้ยนเส้ง ณ สงขลา) เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองสงขลา ภายในศาลประดิษฐานหลักเมืองที่ทำจากไม้ชัยพฤกษ์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานให้ประจำเมือง โดยหลักเมืองนี้ทำพิธีฝังไปเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ปี 2385 และสร้างอาคารของเมืองเอาไว้ เพื่อให้เป็นที่สถิตของเทพผู้รักษาหลักเมือง และเรียกเทพองค์นั้นว่า “เจ้าพ่อหลักเมือง” และสร้างขึ้นพร้อมกับการสร้างเมืองสงขลาแห่งใหม่ในปีเดียวกัน ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสงขลา เป็นศูนย์รวมความศรัทธาของทั้งชาวจีนและชาวไทย อยู่ภายในศาลเดียวกัน

หลังจากกราบไหว้สักการะศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเสร็จแล้ว นักท่องเที่ยวจะแวะกินอาหาร “ร้านข้าวสตูเกียดฟั่ง” ซึ่งเป็นร้านข้าวสตูเจ้าแรกของจังหวัดสงขลา ที่มีอายุเกือบ 100 ปี จำหน่ายข้าวสตูอาหารพื้นถิ่นของจังหวัดสงขลา และซาลาเปาลูกใหญ่ ข้าวสตูเป็นอาหารพื้นถิ่นดั้งเดิมที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดสงขลา ที่ได้รับการสืบทอดมาเป็นรุ่นที่ 3 จากก๋งมาจากเมืองจีน มณฑลไหหลำ โดยนำสูตรของอินโดนีเซียมาผสมผสานให้เข้ากับสูตรที่คนไทยชอบ และนำมาขายที่สงขลาก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 สตูของทางร้านจะเป็นสตูหมู โดยการนำหมูนุ่มและเครื่องในหมูตุ๋นด้วยสมุนไพรหลายชนิด ประกอบกับมันหางกะทิจนได้รสกลมกล่อม และจะรับประทานกับข้าว หมูกรอบ หมูแดง กุนเชียง และน้ำจิ้มสูตรเฉพาะ ราคาจะเริ่มตั้งแต่ 60 บาท 80 บาท 100 บาท และ 150 บาท


และบริเวณตรงข้ามศาลเจ้าพ่อหลักเมืองจะมีร้านไอศกรีมชื่อดัง คือ “ร้านบันหลีเฮง” ซึ่งเป็นร้านขายไอศกรีมถั่วเขียวโบราณเจ้าแรก ต้นตำรับเมืองสงขลา มาเป็นเวลายาวนานตั้งแต่บรรพบุรุษสืบทอดมาจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลานกว่า 90 ปี ที่นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียรู้จักเป็นอย่างดี และในทุกวันจะเห็นบรรยากาศหน้าร้านมีนักท่องเที่ยวมารอซื้อไอศกรีมเต็มหน้าร้าน

“ร้านบันหลีเฮง” มีไอศกรีมทั้งรสกะทิสดและรสวานิลลา เมนูประกอบด้วยไอศกรีมถั่วเขียว ไอศกรีมถั่วเขียวทรงเครื่อง ไอศกรีมถั่วเขียวไข่แข็ง ไอศกรีมไข่แข็ง ไอศกรีมไข่แข็งทรงเครื่อง ไอศกรีมทรงเครื่อง ไอศกรีมภูเขาไฟ คอมโบ ไอศกรีมกล้วยและหวานเย็นลิ้นจี่ เนื่องจากร้านบันหลีเฮงเปิดมาเป็นเวลายาวนาน มีลูกค้ารุ่นเก่าและลูกค้าคนรุ่นใหม่ที่แวะเวียนเข้ามากินไอศกรีมในร้านทุกวันทั้งช่วงเที่ยงและช่วงเย็น


และถนนนางงาม ย่านเมืองเก่าสงขลาเส้นนี้ ยังมีร้านไอศกรีมอร่อยๆ อีกร้านหนึ่งที่เป็นร้านขวัญใจวัยรุ่น และเป็นที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย คือ “ร้านไอติมโอ่ง” เป็นไอติมเก่าแก่ที่ขายมาอย่างยาวนาน และมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่รู้จักมากมายของเหล่าบรรดานักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาถนนนางงาม ถนนย่านเมืองเก่าสงขลา ร้านไอติมโอ่ง ค่อนข้างป็อปปูลาร์ในหมู่เด็กวัยรุ่น โดยเฉพาะเด็กนักเรียนมัธยม บรรยากาศร้านก็ธรรมดาเป็นห้องแถวไม่ได้ตกแต่งหวือหวาแต่อย่างใด

ไอติมของทางร้านมีให้เลือก 2 ประเภทคือแบบไอศกรีมแบบดุ้งเดิม (ไอศกรีมกะทิ) และไอศกรีมลิ้นจี้ โดยสามารถเลือกสั่งท็อปปิ้งได้ 6 แบบคือ ทรงเครื่อง (ใส่เครื่องโน่นนี่นั่น) ถั่วเขียว หวานครีม (ผสมเฮลส์บลูบอย) ยกล้อ (ใส่น้ำโค้ก) เรนโบว์ และใส่ไข่ ทุกเมนูเสิร์ฟมาในโอ่งดินเผาเล็กๆ ราคาไม่แพง อยู่ที่ประมาณ 20 บาทเท่านั้น สามารถสั่งซื้อกลับบ้านได้ จะแถมโอ่งให้ด้วย


โดยย่านเมืองเก่าสงขลา ถนนนางงาม แต่เดิมเป็นถนนสายเก่าแก่ของ จ.สงขลา มีประวัติยาวนานกว่า 100 ปี แต่เดิมเรียกว่า “ถนนเก้าห้อง” เนื่องจากเริ่มแรกมีอาคารบนถนนสายนี้เพียง 9 คูหา หรือ 9 ห้อง และในปี 2478 จังหวัดสงขลา ได้จัดงานปีใหม่พร้อมกับจัดประกวดนางงามสงขลาขึ้น นางงามที่ชนะและได้เป็น “นางงามสงขลาคนแรก” นั้นอาศัยอยู่ ณ “ถนนเก้าห้อง” นับแต่นั้นมาคนสงขลาจึงเรียกถนนเส้นนี้ว่า “ถนนนางงาม” อาคารบ้านเรือนบนสองฟากฝั่งถนนสายนี้ส่วนใหญ่เป็นจะห้องแถวไม้อายุนับ 100 กว่าปีสุดคลาสสิก เป็นการผสมผสานกันระหว่างสถาปัตยกรรมจีนฮกเกี้ยนและชิโนโปรตุกีส ซึ่งมีความสวยงามที่ควรค่าแก่การมาเดินชม












กำลังโหลดความคิดเห็น