ตรัง - ตลาดหมากแห้งปีนี้ตายสนิท เหตุไม่มีบริษัทใหญ่มารับซื้อ เนื่องจากค่าผ่านด่านส่งออกแพง ทำเกษตรกรเดือดร้อนอย่างหนัก ต้องยอมให้หมากสุกร่วงเต็มโคนต้น เพราะราคาตกฮวบเหลือแค่ กก.ละ 18 บาท
ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปดูปัญหาความเดือดร้อนของชาวสวนที่ปลูกหมากเป็นรายได้เสริมจากอาชีพทำสวนยาง หรือสวนปาล์มน้ำมัน โดยเฉพาะที่หมู่ 8 .หนองช้างแล่น อ.ห้วยยอด จ.ตรัง พบว่า คุณยายบวน คีรีเดช ซึ่งกำลังนำหมากที่ผ่าแล้วมาตากแดด บอกว่า ปีนี้ยังไม่ได้ขายหมากเลย แต่ที่ต้องเก็บนำมาผ่า และตากแห้งเอาไว้ เพราะไม่รู้จะเอาไปไหน เนื่องจากหมากสุกร่วงหล่นลงมาเต็มโคนต้น ทิ้งไว้ก็เสียดาย ซึ่งทราบมาว่ามีพ่อค้าบางคนเสี่ยงเปิดรับซื้อหมากแห้ง ในราคาเพียง กก.ละ 18 บาท ต่างกับปีที่แล้ว (พ.ศ. 2565) ที่ขายได้ถึง กก.ละ 30-35 บาท จนทำให้คุณยายได้เงินประมาณ 5,000-6,000 บาท แต่ปีนี้นอกจากจะเจอปัญหาฝนตกชุก ส่งผลให้หมากมีผลผลิตน้อยแล้ว ก็ยังมาขายไม่ได้อีก ขณะที่เมื่อปี 2564 หมากมีราคาดีมาก กก.ละ 70-80 บาท ทำให้เกษตรกรบางคนยอมโค่นยางเพื่อปลูกหมากแทน แต่ผ่านมาแค่ 2 ปี ราคากลับพลิกผันตกต่ำลงมาหลายเท่าตัวเลยทีเดียว
เช่นเดียวกับ นายสำเริง สิทธิชัย อายุ 58 ปี ซึ่งเป็นทั้งเจ้าของสวนหมาก และเป็นพ่อค้าที่เปิดจุดรับซื้อหมากแห้งด้วย ก็บอกว่า ตนเองปลูกหมากในพื้นที่ว่างข้างๆ บ้าน รวมประมาณ 5 ไร่ แต่ละปีมีผลผลิตประมาณ 1 ตัน และยังเป็นคนเปิดจุดรับซื้อหมากแห้งเองด้วย สำหรับหมากแห้งชาวสวนจะเริ่มทำตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายนของทุกปี หรือประมาณ 5-6 เดือน แต่ปีนี้ตลาดที่จะส่งออกต่างประเทศไม่มีเลย หรือเรียกว่าตลาดตาย พ่อค้าคนกลางก็ไม่กล้ารับซื้อ เพราะว่าส่งออกไม่ได้ ไม่ใช่เพราะว่าผู้บริโภคลดลงอย่างใด แต่ปัญหาคือภาษีค่าผ่านด่านจากประเทศพม่า เพื่อที่จะไปยังประเทศอินเดีย มีอัตราที่แพงมาก ตก กก.ละ 100-200 บาท ทำให้บริษัทใหญ่สู้ไม่ไหว จึงต้องยอม ผลกระทบจึงตกกับเกษตรกรเจ้าของสวนหมาก และพ่อค้ารายเล็กๆ ที่เปิดจุดรับซื้อหมากแห้งเหมือนกับพวกตน ขณะที่ตลาดเมืองไทยใช้หมากแห้งน้อยมากแค่ 10-20% เพื่อเอาไปทำผลิตภัณฑ์สี ย้อมสี หรือฟอกหนัง
อย่างไรก็ตาม ก็มีพ่อค้ารายเล็กๆ ที่เสี่ยงรับซื้อหมากแห้งไว้วัดดวงในราคาแค่ กก.ละ 18-20 บาท ทำให้ชาวสวนไม่คุ้มกับค่าปุ๋ยที่ต้องใส่ ไม่สมกับค่าที่นั่งทำ เพราะวันหนึ่งได้ 100-200 บาทเท่านั้น จึงต้องยอมปล่อยให้หมากสุกร่วงหล่นคาต้น ทั้งนี้ เนื่องจากตลาดหมากแห้งหลักๆ ประมาณ 70% คือประเทศอินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ ส่วนตลาดรองคือพม่า และตะวันออกกลางทุกประเทศ ซึ่งถ้าซื้อหมากแห้งจากเมืองไทย กก.ละ 50 บาทแล้ว จะต้องไปจ่ายค่าผ่านด่านอีก กก.ละ 100-200 บาท บริษัทใหญ่ก็ไม่คุ้ม ค่าขนส่งก็แพง และทางรัฐบาลก็ไม่เคยมาดูแลสินค้าตัวนี้เลย เพราะไม่ใช่สินค้าหลัก ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้มีการส่งเสริมให้ปลูกเป็นพืชเสริม และปกติราคาหมากแห้งจะดีกว่าราคายางด้วยซ้ำไป จนทำให้เกษตรกรมีรายได้เสริมพอเลี้ยงครอบครัวได้เลย จึงอยากให้รัฐบาลหันมามอง หันมาช่วยแก้ปัญหาการผ่านด่าน หรือช่วยเจรจาให้สามารถส่งออกไปได้ ชาวสวนก็จะได้ไม่เดือดร้อน