สตูล - สุดทึ่ง! ค้นพบที่อยู่อาศัยมนุษย์โบราณ หลุมฝังศพ และสุสานหอยโข่งนับล้านตัว ริมเพิงผาเขาพระยาบังสา อ.ควนโดน จ.สตูล วอนสำนักศิลปากรที่ 11 สงขลา เข้าสืบค้นตามหลักวิชาการ หวังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญทางประวัติศาสตร์
ที่เพิงผาเขาพระยาบังสา (ริมสวนยางพาราในหมู่บ้าน) พื้นที่หมู่ 3 ต.ย่านซื่อ อ.ควนโดน จ.สตูล ได้มีการค้นพบ “สุสานหอยโข่งโบราณ” ใน จ.สตูล มาแล้วกว่า 20 แห่ง พิกัดนี้คือใหญ่ที่สุด สุสานหอยโข่งโบราณนับล้านตัวในชั้นดินตลอดแนวที่ทับถมกันบริเวณเพิงผา เป็นที่ราบเล็กๆ สูงจากระดับดินข้างล่างราว 12 เมตร ห่างจากคลองสายหลัก 500 เมตร และห่างจากทะเลราว 20 กิโลเมตร ซึ่งบางส่วนนั้นกลายเป็นฟอสซิลติดอยู่ในก้อนหินริมหน้าผา เพราะโดนน้ำหินปูนไหลเคลือบ มีหลายตัวหลุดกลิ้งอิสระเพ่นพ่านตามหน้าดิน ปะปนร่วมกับกระดูกสัตว์หลายชนิด รวมไปถึงเปลือกหอยจากทะเล ซึ่งอยู่ในพิกัดเพิงผาริมภูเขาใต้หน้าผาที่สูงชัน
นายกำพลศักดิ์ สัสดี นักสำรวจถ้ำจังหวัดสตูล เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 25 ปี ที่สำรวจถ้ำมาไม่ต่ำกว่า 300 แห่งใน จ.สตูลนั้น และพบถ้ำที่สวยงามมากมาย โดยได้บันทึกภาพโพสต์ลงสื่อโซเชียล มีการต่อยอดจนเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น ถ้ำภูผาเพชรในยุคแรกๆ ปราสาทหินพันยอด และถ้ำโตนดิน เป็นต้น และครั้งนี้พบความพิเศษของถ้ำที่นี่ เมื่อ 20 ปีก่อนที่ตนเคยพบ และจะเวียนมาดูซ้ำๆ ว่ามีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ซึ่งความพิเศษของพิกัดนี้เชื่อว่าเป็นแหล่งอาศัยของมนุษย์ยุคประวัติศาสตร์ เคยมีการตรวจสอบอายุแล้วอย่างเป็นทางการ พบว่ามีอายุที่ประมาณ 3,500 ถึง 19,000 ปีก่อน และอาจมีเก่าแก่กว่านั้น เป็นชนเผ่าหนึ่งที่เคยอาศัยกระจายตัวไปทั่วในดินแดนนี้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นบรรพบุรุษของผู้คนในพื้นที่ ณ ยุคปัจจุบัน
หลังพบขวานหิน 2 เล่ม เครื่องประดับจากเขาสัตว์ ซากอาหารโบราณ อย่างหอยโข่ง สัตว์น้ำจืด ชุดฟันกรามขนาดใหญ่ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง ปลายเขาสัตว์ ประเภทเก้ง หรือกวาง เชื่อว่ามีการใช้พื้นที่แห่งนี้สำหรับอาศัยและดำรงชีพ และยังพบสุสานคนยุคโบราณ มีการฝังศพตามเพิงถ้ำ โดยพบจำนวน 10 ร่าง มีการฝังศพด้วยการหันหัวไปทางทิศตะวันออก ใช้หินเรียงปิดหน้าหลุม เชื่อว่าเป็นชนเผ่าโบราณที่อาศัยตามชายฝั่งอันดามันยาวไปจนถึงมาเลเซีย
การค้นพบในครั้งนี้ นายกำพลศักดิ์ นักสำรวจถ้ำจังหวัดสตูล ยังต้องการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างสำนักศิลปากรที่ 11 สงขลา เข้ามาสืบค้นตามหลักวิชาการ ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นฐานความรู้ให้ประชาชนที่สนใจได้ และอาจเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญทางประวัติศาสตร์อีกแห่งหนึ่งได้