สุราษฎร์ธานี - ตร.เกาะสมุย ตรวจคนเข้าเมือง และสืบสวนภาค 8 สนธิกำลังตามแกะรอยอดีตตำรวจยูเออี ก่อเหตุเผารถยนต์คู่อริ 2 คัน บ้านอีก 1 หลัง ก่อนหลบหนีไปซ่อนตัวบนเกาะพะงัน แกะรอยจากกล้องวงจรปิด พร้อมจับกุมตัวได้ ดำเนินคดีหลายข้อหา เตรียมเสนอเพิกถอนวีซ่า
วันนี้ (4 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายใต้การอำนวยการของ พ.ต.อ.พิษณุ พ่วงพร้อม รอง ผบก.สส. ภ.8 พ.ต.อ.ไกรฤกษ์ งามศรีอ่อน ผกก.สภ.เกาะสมุย พ.ต.อ.ศุภฤกษ์ พันธ์โกศล ผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี ได้มอบหมายและสั่งการให้ สว.กก. สส.2 ปรก.กก.สส.2 บก. สส.ภ.8 พ.ต.ต.สวัสดิ์ ทัลวัลลิ์ สว.สส.สภ.เกาะสมุย ร.ต.อ.พิเชษฐ์ วิบุตร รอง สว.สส.สภ.เกาะสมุย ร.ต.อ.อรุณ มูสิกิ้ม รอง สว.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ได้ร่วมกันจับกุมตัวนายอาลี หรือนายมูจิบ อาลี อัลคาบี (MR.MUAJIB ALI SALIM SALEH ALKARBI) อายุ 40 ปี สัญชาติสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ตามหมายจับศาลจังหวัดเกาะสมุย ในความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น รถยนต์เก๋ง จำนวน 2 คัน เสียหาย
สืบเนื่องจากเมื่อกลางดึกวันที่ 2 มีนาคม 2566 เวลาประมาณ 01.35 น.ร.ต.อ.นาวี จิตรบาล รอง สว.สอบสวน สภ.เกาะสมุย ได้รับแจ้งว่ามีเหตุเพลิงไหม้บริเวณลานดิน ม.1 ต.ตลิ่งงาม อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี จึงได้เดินทางไปตรวจสอบ พบว่า มีรถเก๋ง 2 คันไฟกำลังลุกไหม้ และเจ้าหน้าที่ดับเพลิงกำลังดับเพลิง จนกระทั่งเมื่อเพลิงสงบจึงได้เข้าไปทำการตรวจสอบ ทราบว่าเป็นรถเก๋งยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู สีเทา ทะเบียน กจ 1680 สตูล และรถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า รุ่นอัลติส สีเทา ทะเบียน กง 7455 สุราษฎร์ธานี ถูกเพลิงไหม้เสียหายทั้ง 2 คัน มีนายอนันต์ เต็ง สัญชาติไทยเป็นผู้เสียหาย ต่อมา จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่สืบสวน สภ.เกาะสมุย พร้อมบูรณาการกำลังร่วมกับ บก.สส.ภ.8 ตม.สุราษฎร์ธานี ร่วมเข้าทำการสืบสวนหาคนร้าย
หลังจากเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนทั้ง 3 หน่วย ประกอบด้วย ตำรวจสืบสวน กก.สส.2 บก. สส.ภ.8 ตำรวจสืบสวน สภ.เกาะสมุย ตำรวจสืบสวน ตม.จว.สุราษฎร์ธานี ได้ร่วมกันหาข้อมูลคนร้ายโดยสอบพยานผู้เสียหาย จนทราบว่าผู้เสียหายซึ่งเช่าห้องเพื่อประกอบธุรกิจซื้อขายรถยนต์มือสองอยู่ติดกับห้องพักคนต่างชาติ ชื่อ นายอาลี หรือ MR.MUAJIB ALI SALIM SALEH ALKARBI สัญชาติสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งก่อนเกิดเหตุได้มีปากเสียงทะเลาะวิวาทกับนายอาลี และทางนายอาลี ได้พูดกับผู้เสียหายว่าจะเผารถของผู้เสียหาย พร้อมยกขวดน้ำมันขึ้นมา ต่อมาตามเวลาที่เกิดเหตุได้มีเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นจริง ผู้เสียหายจึงสงสัยว่านายอาลี จะเป็นคนร้ายที่ก่อเหตุดังกล่าว
ชุดสืบสวนจึงได้ออกตรวจสอบกล้องวงจรปิดโดยรอบในบริเวณที่เกิดเหตุ จนพบภาพจากกล้องวงจรปิด พบว่า คนร้ายขับรถจักรยานยนต์สีแดง สวมชุดกางเกงขายาวเสื้อแขนยาวสีดำ สวมหมวก สวมแมสก์ปิดบังใบหน้า และได้ออกติดตามผู้ต้องสงสัยในขณะนั้นคือนายอาลี ต่อมาเจ้าหน้าที่จึงได้ติดต่อผ่านทางโทรศัพท์ของนายอาลี จึงทราบว่านายอาลี ได้เดินทางไปเกาะพะงัน ทางเจ้าหน้าที่ชุดจับจึงได้ทำการแกะรอยจากกล้องวงจรปิดจากเกาะสมุย และที่เกาะพะงัน และพบว่า ผู้ต้องสงสัยรายนี้ไปพักที่บังกะโลบริเวณชายหาดริ้น ในตำบลบ้านใต้ อำเภอเกาะพะงัน
ทางเจ้าหน้าที่จึงได้เข้าทำการตรวจสอบ พร้อมเชิญมาให้ปากคำในเบื้องต้น โดยนายอาลี ไม่มีท่าทีใดๆ และให้การปฏิเสธ และ ให้การว่าตนเองอยู่ที่เกาะพะงัน ตลอดเวลาในคืนเกิดเหตุ ต่อมา ทางเจ้าหน้าที่ได้ขยายผล จนพบรถจักรยานยนต์ที่ใช้ในการก่อเหตุจอดทิ้งไว้ริมถนนทางลงหาดละไม บนเกาะสมุย ซึ่งหลังก่อเหตุแล้วได้ขึ้นรถแท็กซี่ไปท่าเรือบ้านบางรักษ์ ในตำบลบ่อผุด จากนั้นผู้ต้องหาได้เช่าเรือหางยาวเพื่อเดินทางไปเกาะพะงัน โดยภาพวงจรปิดปรากฏในขณะลงเรือหางยาว และข้ามไปเกาะพะงัน
จากพยานหลักฐานที่ปรากฏทั้งหมดเพียงพอที่พนักงานสอบสวนได้รวบรวมเพื่อขอให้อำนาจศาลจังหวัดเกาะสมุย อนุมัติหมายจับ นายอาลี ซึ่งศาลได้อนุมัติหมายจับ ที่ 41/66 ลง 3 มี.ค.2566 จับกุมนายอาลี หรือ MR.MUAJIB ALI SALIM SALEH ALKARBI อายุ 40 ปี สัญชาติสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในความผิดฐานวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น และเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ตม.จว.สุราษฎร์ธานี สภ.เกาะสมุย บก.สส.ภ.8 ได้ร่วมกันจับกุมตัวนายอาลี ตามหมายจับดังกล่าวส่งพนักงานสภ.เกาะสมุย จว.สุราษฎร์ธานี เพื่อดำเนินคดีต่อไป
สำหรับนายอาลี หรือ MR.MUAJIB ALI SALIM SALEH ALKARBI สัญชาติสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อดีตเคยเป็นตำรวจของประเทศหนึ่ง และได้ลาออกแล้ว ได้วางแผนการในการก่อเหตุในครั้งนี้เพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ โดยการวางแผนตั้งแต่การหาซื้อรถจักรยานยนต์ที่ใช้ในการก่อเหตุ เมื่อวันที่ 1 มี.ค.2566 การตระเตรียมเสื้อผ้าในการก่อเหตุ มีการเปลี่ยนชุดอยู่ตลอดระยะเวลาที่ก่อเหตุ มีการวางแผนการเดินทางไปเกาะพะงัน และเดินทางกลับมาก่อเหตุที่เกาะสมุยในเวลากลางคืน ซึ่งโดยปกติจะเป็นการยากมากที่จะทำได้ในการเดินทางระหว่าง 2 เกาะในเวลากลางคืน แต่นายอาลี ก็วางแผนทำการดังกล่าวเพื่อหลอกให้เจ้าหน้าที่เข้าใจว่าในวันเกิดเหตุตนไม่ได้อยู่ในพื้นที่เกิดเหตุ เมื่อก่อเหตุเสร็จแล้วยังหาช่องทางกลับไปเกาะพะงัน โดยการโดยสารเรือหางยาวเพื่อให้เห็นว่าตนเองยังอยู่เกาะพะงันตลอดระยะที่เกิดเหตุ
แต่ไม่สามารถหนีความผิด หรือตบตาตำรวจไทยได้ เพราะเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมรู้ทันกลของนายอาลี ประกอบกับเกาะสมุย เป็นพื้นที่เซฟโซนตามโครงการสมุย สมาร์ทซิตี ที่มีกล้องวงจรปิดคอยเป็นเครื่องมือสำคัญที่คอยเป็นกุญแจไขความจริงให้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คลี่คลายคดีได้จนสำเร็จ และคอยไว้สอดส่องดูแลความปลอดภัยประชาชนและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในพื้นที่ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ในส่วนสาเหตุแรงจูงใจการก่อเหตุนายอาลี ยังไม่ยอมเปิดเผย
ล่าสุด พ.ต.อ.ศุภฤกษ์ พันธ์โกศล ผกก.ตม.จ.สุราษฎร์ธานี ได้สั่งการให้ ร.ต.อ.อรุณ มูสิกิ้ม รอง สว.ตม.จ.สุราษฎร์ธานี รวบรวมหลักฐานและรายงานเพื่อเตรียมออกหนังสือเสนอเพื่อยกเลิกและเพิกถอนหนังสือเดินทางต่อไป