ทัศนะ โดย.. เมือง ไม้ขม
แม้ว่าสงครามระหว่าง รัสเซีย กับ ยูเครน จะอยู่ห่างจาก อาเซียน และไม่มีส่วนที่เกี่ยวข้องกับ ประเทศไทย แต่สิ่งที่ประเทศไทยและคนไทย รวมทั้งประเทศในกลุ่มอาเซียนและประชาชนในกลุ่มของประเทศอาเซียนต้องติดตามอย่างรู้เท่าทัน นั่นคือ ผู้ที่ชักใยอยู่เบื้องหลังสงครามทั้ง 2 ประเทศ และเป็นผู้ที่กำหนดเกมของการทำสงครามให้ยืดเยื้อ คือประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ชักนำประเทศต่างๆ ในสหภาพยุโรปเข้ามาเป็นคู่สงครามกับรัสเซีย ในการช่วยเหลือยูเครน ทั้งด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ เทคโนโลยี การเงิน และอื่นๆ
พฤติกรรมของสหรัฐอเมริกาต่อปัญหาความขัดแย้งใน “รัสเซีย-ยูเครน” อาจจะเกิดขึ้นกับกลุ่มประเทศในเอเชีย ซึ่งรวมประเทศในกลุ่มอาซียน ที่มาจากความขัดแย้งระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนกับไต้หวัน ซึ่งเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่จีนต้องการให้กลับคืนไปสู่ความเป็น จีนเดียว ในอนาคต แต่สหรัฐอเมริกากลับใช้วิธีการสนับสนุนให้ไต้หวันทำการแข็งข้อ ประกาศตัวเป็นประเทศอิสระ โดยมีสหรัฐอเมริกาช่วยเหลือในด้านความมั่นคง เช่น การขายอาวุธยุทโธปกรณ์และด้านเทคโนโลยี และอื่นๆ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้แก่กองทัพของไต้หวัน เพื่อใช้ต่อสู้กับประเทศจีน ซึ่งจีนและประเทศที่เป็นกลางเห็นว่า ไม่ถูกต้อง และเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศจีน
นอกจากเรื่องของไต้หวันในห้วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังจากที่ โจ ไบเดน ได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา บทบาททางทหารของสหรัฐอเมริกาในด้านของทะเลจีนใต้เพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยการอ้างสิทธิเสรีภาพในการเดินเรือในทะเลจีนใต้ที่ต้องเป็นเสรี และอ้างปัญหาข้อพิพาทในเรื่องของดินแดนในทะเลจีนใต้ระหว่างประเทศต่างๆ กับจีนเป็นข้ออ้าง
โดยมีการส่งเรือรบเข้าลาดตระเวนใน “ทะเลจีนใต้” แบบถี่ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รวมทั้งการส่งกองเรือรบเข้ามาป้วนเปี้ยน เพื่อแสดงแสนยานุภาพในทะเลชั้นนอก และหลายต่อหลายครั้งที่มีการส่งเครื่องบินรบแบบต่างๆ เข้ามาบินโฉบเฉี่ยวใกล้กับน่านฟ้าของสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งทั้งหมดคือการยั่วยุเพื่อให้เกิดข้อพิพาท เพื่อไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรง
ดังนั้น กรณีไต้หวัน และกรณีข้อพิพาทในดินแดนทางทะเลจีนใต้เป็นอีกกรณีที่สหรัฐอเมริกาถือโอกาสในการเข้าแทรกแซง และทำให้เกิดความขัดแย้งด้วยกำลังทหารเกิดขึ้น ที่ไม่แตกต่างกับสงคราม “รัสเซีย-ยูเครน” เพียงแต่เปลี่ยนจากรัสเซีย-ยูเครน มาเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน กับไต้หวัน และประเทศเล็กๆ ที่อยู่ในทะเลจีนใต้ ซึ่งมีข้อพิพาททางดินแดนกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ใช้วิธีการเจรจา ทำข้อตกลงกันได้ โดยไม่ต้องมีการให้ความรุนแรง หากไม่มีสหรัฐอเมริกาเข้ามาแทรกแซง
กรณีการขยายอิทธิพลของสหรัฐอเมริกาที่เห็นได้ชัดคือ เมื่อเดินมกราคม 2566 ที่ผ่านมา รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกา ได้เดินทางมาเยือนประเทศฟิลิปปินส์ โดยมีการลงนามในข้อตกลงขอใช้ฐานทัพของประเทศฟิลิปปินส์ทั้ง 5 แห่งเพื่อทางการทหาร ซึ่งในกรณีนี้เป็นที่แน่ชัดว่า หากเกิดความขัดแย้งขึ้นระหว่างจีน กับสหรัฐอเมริกา ฐานทัพเรือทั้ง 5 แห่งในประเทศฟิลิปปินส์ จะเป็นฐานทัพที่สหรัฐอเมริกาใช้ในการทำสงครามในทะเลจีนใต้
และประเด็นที่สำคัญที่สหรัฐอเมริกาพยายามเป็นอย่างยิ่ง คือการเจรจากับผู้นำของประเทศไทย เพื่อขอเช่า หรือขอใช้สนามบินอู่ตะเภา จ.ระยอง ของประเทศไทย เพื่อภารกิจด้านการทหารและความมั่นคง ซึ่งแม้ว่าไทยยังไม่มีคำตอบในเรื่องดังกล่าว แต่ไทยเป็นประเทศที่จีนจับตามองด้วยความไม่ไว้วางใจเช่นเดียวกับฟิลิปปินส์ และสำหรับประเทศที่เป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่เป็นประเทศเล็กๆ อย่างประเทศไทย สิ่งสำคัญคือการสร้างความสมดุลด้านนโยบายต่างประเทศ โดยไม่เอนเอียงไปอยู่กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
ที่ผ่านมา กลุ่มประเทศในอาเซียนและประเทศไทยเองถูกมองว่าไม่มีเอกภาพในกรณีของยูเครน และในกรณีของพม่า แต่ในกรณีของ “ไต้หวัน” และทะเลจีนใต้ ซึ่งหากมีการเกิดขึ้นในอนาคตที่ไม่ช้านี้ อาเซียนและไทยมีนโยบายอย่างไร สิ่งเหล่านี้คือโจทย์ใหญ่ที่ประเทศในกลุ่มอาเซียน รวมทั้งผู้นำของไทย จะต้องมีการพูดคุยเพื่อเป็นการตั้งรับและหาทางออกหากเกิดความขัดแย้ง และมีสหรัฐอเมริกาเข้ามาทำตัวเป็นผู้ช่วยอย่างที่เกิดขึ้นกับยูเครน ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง ประเทศในกลุ่มอาเซียนทั้งหมดหลีกหนีไม่พ้นที่ต้องรับผลกระทบที่เกิดขึ้น
ปี 2023 กลุ่มประเทศอาเซียนมีประเทศอินโดนีเซียเป็นประธานอาเซียน ซึ่งหลายประเทศคาดหวังว่า ประเทศในกลุ่มอาเซียนจะมีเอกภาพ มีความเข้มแข็งมากกว่าที่ผ่านมา ดังนั้น นอกจากปัญหาของพม่าแล้ว สิ่งที่สำคัญคือต้องเตรียมการรับมือการขยายอิทธิพลของประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา ที่มีเป้าหมายต่ออาเซียนและทะเลจีนใต้ ประเทศในกลุ่มอาเซียนต้องมีนโยบายในการสร้างสมดุล เพื่อการถ่วงดุลของสหรัฐอเมริกากับสาธารณรัฐประชาชนจีน รวมทั้งอาจะถึงคราที่ต้องมีการเลือกข้าง ซึ่งต้องคิดให้รอบคอบว่า จะยืนอยู่ฝ่ายไหน ระหว่างมหาอำนาจผู้กระหายสงคราม กับมหาอำนาจที่ยึดมั่นในสันติภาพ ซึ่งทั้งประเทศไทยและอาเซียนย่อมรู้ดีว่าควรจะยืนอย่างไร และควรจะยืนอยู่กับฝ่ายไหน