คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้ โดย… ไชยยงค์ มณีพิลึก
ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม และ พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผบ.ทบ. ได้เห็นภาพ “แย่งศพ” คนร้ายที่มี 4 หมายจับ มีประวัติเป็นมือระเบิดเชี่ยวชาญที่ก่ออาชญากรรมมามากมาย นำไป “แห่ศพ”
แถมยังเชื่อว่าคนร้ายที่ถูกแย่งศพน่าจะเกี่ยวข้องกับเคสล่าสุดที่ จ.ยะลา คือ การเสียชีวิตของ “สว.สส.สภ.บันนังสตา” และมีตำรวจบาดเจ็บพ่วงด้วย 4 นาย ยิ่งได้เห็นภาพมวลชนแสดงปฏิกิริยากับเจ้าหน้าที่ ทั้งสีหน้า วาจาและท่าทางที่บ่งบอกว่า พวกเขามองเจ้าหน้าที่รัฐเป็น “ศัตรู” แบบแทบไม่เหลือความเป็นมิตรให้แก่กัน
เชื่อว่า “ท่านผู้นำ” ทั้งหลายต้องเข้าใจดีว่า สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่พวกท่านรีบยอมรับการสรุปรายงานที่ถูกส่งไปจากพื้นที่ที่ว่า “เดินมาถูกทางแล้ว” แท้จริงแล้วล้วนเป็นเรื่อง “โกหกมดเท็จ” แบบไม่น่าให้อภัย
การที่มีมวลชนกระโดดเกาะรถที่บรรทุกศพคนร้ายที่ถูกวิสามัญฯ ระหว่างนำไปชันสูตรที่โรงพยาบาลธารโต จ.ยะลา มีการขับรถไล่ตาม หลังแย่งศพไปได้ยังพยายามทำร้ายคนขับรถมูลนิธิคันนั้นด้วย แล้วนำศพไปทำพิธีแบบไม่อาบน้ำและเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย เป็นการบอกให้รู้ว่าพวกเขาตั้งใจให้ผู้ตายได้เป็นแบบอย่าง “นักรบพลีชีพ”
ความจริงแล้วเป็นที่รับรู้กันของคนในแทบจะทั้งหมู่บ้านว่า คนร้ายที่ถูกทหารวิสามัญฯ ถือเป็นมือระดับ “อาร์เคเค” หรือเป็นหนึ่งในกองกำลังติดอาวุธของขบวนการแบ่งแยกดินแดน “บีอาร์เอ็น” ที่ทำการเคลื่อนไหวก่อเหตุอยู่ในชายแดนใต้เวลานี้
ขบวนแห่ศพมีการชูกำปั้นพร้อมตะโกนสรรเสริญผู้ตายเป็นนักรบผู้พลีชีพ แถมยังมีคำว่า “เมอร์เดก้า ปาตานี” รวมอยู่ด้วย นั่นคือการสื่อความหมายที่ชัดเจนโดยไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมอะไรอีกแล้ว คนเหล่านี้คิดอ่านอย่างไรกับผืนแผ่นดินจังหวัดชายแดนภาคใต้ และโดยเฉพาะกับรัฐบาลที่ทำการปกครองพวกเขาอยู่
คนพวกนั้นคิดแต่พิธีกรรมแม้จะขัดแย้งกับหลักการทางศาสนาก็ตาม โดยไม่สนใจกฎหมายบ้านเมือง จึงพร้อมใช้กฎหมู่และวิธีการแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน ซึ่งไม่ต่างจากที่ นายกูเฮง ยาวอหะซัน ส.ส.นราธิวาส อภิปรายในสภาฯ ไว้ว่า “คุณมาอยู่ในบ้านผม คุณต้องทำตามความต้องการของพวกผม”
แต่สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจกันคือ ไม่ว่าคุณจะเป็นคน “มลายู” หรือ “ไทย” สิ่งที่ต้องให้ความเคารพคือหลักกฎหมาย เช่น เมื่อทำผิดก็ต้องถูกจับกุม ไต่สวนแล้วขึ้นศาล หากมีพยานหลักฐานชี้ชัดก็ต้องถูกลงโทษทัณฑ์ตามกระบวนการ
การก่อวินาศกรรมฆ่าคน การก่อการร้ายเพื่อหวังแบ่งแยกดินแดนล้วนมีความผิดในฐาน “อั้งยี่ ซ่องโจร” ซึ่งต้องถูกจับกุมดำเนินคดี และหากมีการต่อสู้ขัดขืนถึงขั้นปะทะกันด้วยอาวุธ นั่นย่อมมีการสูญเสียชีวิตเกิดขึ้น ซึ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ประชาชนในพื้นที่ก็ต้องยอมรับความจริง
ดังนั้น เหตุการณ์ที่ ต.บ้านแหร อ.ธารโต จ.ยะลา ที่ทหารปิดล้อมเพื่อจับกุม แต่มีการต่อสู้ขัดขืนจนนำมาสู่การวิสามัญฯ “นายอิบรอฮิม” แล้วระหว่างส่งศพไปชันสูตรถูกมวลชนแย่งศพไปได้ จึงเป็นอีกเหตุการณ์ที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า รวมถึงกองทัพกับสภาความมั่นคงแห่งชาติ และรัฐบาลต้องยอมรับความจริงว่า
วันนี้ประชาชนในเขตรอบนอกตัวเมืองใหญ่ของชายแดนใต้ พวกเขาส่วนใหญ่ถูกทำให้เป็น “มวลชนบีอาร์เอ็น” ไปแล้ว อีกทั้งการที่คนในพื้นที่ได้รับการฝึกฝนให้เป็น “กองกำลังติดอาวุธ” เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอีกต่อไป อีกทั้งคนทั่วไปก็ไม่เห็นว่าการก่อวินาศกรรมฆ่าคนเป็นเรื่องเสียหายทำลายความสงบสุขของบ้านเมือง
แต่กลับมองว่า “รัฐไทย” เป็นฝ่ายผิดที่เข้ามาปกครองชายแดนใต้โดยนำ “กฎหมาย” ที่ขัดแย้งกับ “หลักการทางศาสนา” มาใช้กับประชาชนในพื้นที่ ดังนั้น การแห่ศพและตะโกนคำว่า “เมอร์เดก้า ปาตานี” ถือเป็นการแสดงออกว่า พวกเขาต้องการอะไร
ขณะที่หน่วยงานความมั่นคงที่เป็นผู้กำกับดูแลนโยบายดับไฟใต้กลับยังอยู่กับ “ความหลอกลวง” ตั้งแต่หลอกตัวเองไปจนถึงหลอกเบื้องต่ำและเบื้องสูงไปวันๆ ว่าสถานการณ์ไฟใต้ดีขึ้นแล้ว โดยเฉพาะกับการย้ำๆ คำว่า เราเดินมาถูกทางแล้ว ถามว่า “ทางใคร” ทางที่โจรทำให้เดิน และเรากำลังเดินตามหลังโจรใช่หรือไม่
เห็นด้วยกับที่หน่วยงานความมั่นคงปิดล้อมตรวจค้นแหล่งพักพิง หรือหลบซ่อนกองกำลังติดอาวุธและแนวร่วมบีอาร์เอ็น เพราะหากไม่ทำนอกจากไม่แก้ปัญหาแล้ว กลับยังเป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้ขบวนการเข้มแข็งและมีศักยภาพเพิ่มขึ้นอีกด้วย อันอาจจะทำให้วิกฤตขยายขอบเขตกว้างขวางยิ่งขึ้น
จากการติดตามสถานการณ์ทราบว่า หน่วยงานความมั่นคงได้ปิดล้อม ตรวจค้น และจับกุมแนวร่วมที่มีหมายจับได้ต่อเนื่องและมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งถือเป็นผลดีที่ได้ตัวผู้กระทำผิดมาซักถาม สอบสวน อันทำได้ทราบถึงเครือข่ายของขบวนการ แล้วสุดท้ายนำผู้ทำความผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้สำเร็จ
เพียงแต่ต้องช่วยกันหาทางออกว่า เมื่อปิดล้อมแล้วมีการปะทะ ทำอย่างไรไม่ให้มีการวิสามัญฯ ไม่ว่าโดยการต่อสู้หรือเจตนาปิดเกมเร็ว เพราะสิ่งที่ตามมากลับกลายเป็นเงื่อนไขสร้างความโกรธแค้น เพราะคนในพื้นที่มักไม่ยอมรับความจริงว่าผู้ถูกวิสามัญฯ ทำผิดจริง โดยเฉพาะการไม่ยอมรับการบังคับใช้กฎหมายของรัฐไทย
จึงนำไปสู่เหตุการณ์แย่งศพไปทำพิธีศาสนาแบบเชิดชูเป็นว่านักรบพลีชีพ แล้วตั้งใจทำให้เป็นแบบอย่างเพื่อ “ปลูกฝัง” และ “ปลุกเร้า” ผู้คนต่อเนื่องหวังให้เป็นปรปักษ์กับรัฐไทย จนกลายเป็น “มวลชน” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดนทั้งทางตรงและทางอ้อม
กว่า 19 ปีไฟใต้ระลอกใหม่ปะทุ หน่วยงานความมั่นคงไม่ได้แก้ปัญหาที่รากเหง้า ถ้าเป็นต้นไม้ก็มีแต่แค่ลิดรอนก้านและใบ ไม่มีแผนขุดรากถอนโคน ใบเก่าที่ร่วงโรยได้เป็นปุ๋ย ขณะที่มีการผลิใบใหม่เกิดขึ้นเพื่อสร้างความเติบโตอย่างแข็งแกร่งได้ต่อเนื่อง
ดังนี้แล้ว “ต้นไม้พิษ” ต้นนี้จึงแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปได้ตลอดเวลา ดังนั้น ถ้าหน่วยงานความมั่นคงยังไม่เปลี่ยนวิธีคิด ยังใช้นโยบายดับไฟใต้แบบเดิมๆ นอกจากจะมองไม่เห็นความสำเร็จแล้ว ยังเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณอย่างไร้ประโยชน์ยิ่งนัก
ตัวอย่างชัดเจนล่าสุด ครม.อนุมัติงบกลาง 396 ล้านบาท ซื้อรถยนต์หุ้มเกราะกันกระสุน 150 คัน เพื่อใช้ในภารกิจดับไฟใต้ตามที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ต้องการ แถมยังมีการของบเพิ่มไว้ซื้ออุปกรณ์ต่างๆ อีกมากมาย ซึ่งล้วนแต่เป็นเรื่องที่อาจมีเรื่องของ “เงินทอน” ตามมาด้วยก็ได้
ถ้าวันนี้แนวทางยังดำเนินไปแบบเดิมๆ ก็อย่าได้หวังว่าไฟใต้จะมอดดับได้ในเร็ววัน หากปล่อยให้ปัญหาสุกงอมจนบีอาร์เอ็นสร้างมวลชนในพื้นที่ได้เกินกว่าร้อยละ 50 เมื่อไหร่ เราคงได้เห็นปฏิบัติการ “สงครามครั้งสุดท้าย” ที่จะชี้ชะตาผู้คนในแผ่นดินปลายด้ามขวานแห่งนี้