ศูนย์ข่าวภาคใต้ - “พ.ต.อ.ทวี” ค้านร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน แฉไม่เข้าข่ายเป็นกฎหมายปฏิรูป แถมยังขัดรัฐธรรมนูญ ละเมิดเสรีภาพสื่อ หวังครอบงำประชาชน ขจัดผู้เห็นต่าง ชี้เสรีภาพของสื่อคือเสรีภาพของประชาชน
วานนี้ (8 ก.พ.) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคประชาชาติ อภิปรายในที่ประชุมร่วมกันของรัฐสภา ระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน พ.ศ. ... ว่า ขอคัดค้าน สิ่งที่จะขอคัดค้านคือ ท่านส่งร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มาเป็นกฎหมายปฏิรูป (วุฒิสภาต้องร่วมพิจารณาด้วย) วันนี้เราพยายามจะบิดเบือนกฎหมาย ในหมวดของกฎหมายปฏิรูปมาตรา 259 แม้จะเขียนไม่ชัดเจนก็ตาม แต่เขาบอกว่า กฎหมายปฏิรูปทุกด้านต้องแล้วเสร็จภายใน 1 ปี ส่วนที่จะสัมฤทธิผลให้บรรลุผลภายในระยะเวลา 5 ปี รัฐธรรมนูญฉบับนี้ครบกำหนด 5 ปีมาเป็นเวลา 1 ปีแล้ว เรายังพยายามบิดเบือนเอากฎหมายทั่วๆ ไปที่ควรจะเริ่มต้นด้วยสภาผู้แทนราษฎร ควรเริ่มต้นด้วยปัญหาความต้องการของประชาชนให้ผ่านไม่ควรจะเป็นกฎหมายปฏิรูป เพราะถ้าเป็นกฎหมายปฏิรูปต้องยอมรับว่าเป็นกฎหมายที่ ส.ว.250 คน คือ รับคำสั่งมา กฎหมายลักษณะนี้จะต้องเหมือนถูกครอบงำ เหมือนเป็นการครอบงำสภาอีกรอบหนึ่ง
“วันนี้เลยเวลา 5 ปีมาแล้ว ผมถือว่ากฎหมายฉบับนี้ไม่ใช่กฎหมายปฏิรูป แม้ ครม.พยายามส่งมาให้เป็นกฎหมายปฏิรูปก็ตาม แต่เมื่อเลย 5 ปีแล้ว ครม.ก็ไม่มีหน้าที่ที่จะไปบิดเบือนรัฐธรรมนูญ เพราะในรัฐธรรมนูญเราบัญญัติไว้ชัดเจนเลยว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ หรือการกระทำใดที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ บทบัญญัติหรือการกระทำนั้นเป็นอันบังคับมิได้ ลองนึกไปถึงการจั่วเป็นข้ออ้างว่า กฎหมายนี้มาจากมาตรา 35 การไปมีกฎหมายฉบับนี้ ยิ่งผิดรัฐธรรมนูญใหญ่ เพราะมาตรา 35 ของรัฐธรรมนูญเป็นการส่งเสริมผู้ประกอบอาชีพให้มีเสรีภาพในการเสนอข่าว การกำจัดหรือขจัดสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนนั้นไม่สามารถกระทำได้เลย จะกระทำได้มีข้อยกเว้นประการเดียวคือในระหว่างที่ประเทศอยู่ในภาวะสงคราม”
พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ความจริงปรากฏความชั่วร้ายจะหายไป วันนี้กฎหมายฉบับนี้กลัวความจริง เมื่อกลัวความจริงก็คือ กลัวสื่อสารมวลชนที่จะออกมาเผยแพร่ความจริง ความจริงเป็นอาวุธสำคัญที่สุดของประชาชน ลองไปดูแค่มาตรา 5 ที่เขียนไว้ เป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญอย่างร้ายแรง ซึ่งมาตรา 5 เขาบอกว่า ‘ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อต้องมีเสรีภาพในการเสนอข่าวและแสดงความคิดเห็นตามจริยธรรมของสื่อ แต่การใช้เสรีภาพจะต้องไม่ขัดต่อหน้าที่ปวงชนชาวไทยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน’ รัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนข้อความนี้ไว้ รัฐธรรมนูญเขียนเรื่องสิทธิเสรีภาพของสื่อ สามารถทำได้ มีเสรีภาพ ยกเว้นในภาวะสงคราม เราต้องการจะสื่อเพื่อไม่ให้ประเทศถูกโจมตีโดยข้าศึก หรือไม่ให้ประเทศต้องตื่นตระหนก รัฐจึงจำเป็นต้องมาควบคุมสื่อ
“ดังนั้นการที่นำร่างฉบับนี้ขึ้นมานั้น ผมเห็นว่าเป็นความต้องการที่จะครอบงำประชาชน ต้องการมาขจัดผู้ที่เห็นต่าง และที่สำคัญอย่างยิ่งในภาวะที่อาจจะมีการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นในข้างหน้า เชื่อว่าถ้าสื่อสารมวลชนได้สื่อสารไปในช่องทางที่ถูกต้อง จะทำให้ฝ่ายรัฐบาลไม่สามารถจะปิดบังได้ จึงต้องปิดปากสื่อไว้ก่อน”
“ในเรื่องของสื่อปัจจุบันเรายังมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องมากมาย โดยเฉพาะกฎหมายประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ กฎหมาย กสทช. ซึ่งหลายเรื่องจะมาเกี่ยวเนื่องและซ้ำซ้อนกัน วันนี้เหมือนเรากำลังจะมีโซ่ตรวนมัดมือมัดเท้าสื่อมวลชน เสรีภาพของสื่อคือเสรีภาพของประชาชน ดังนั้นผมคิดว่าร่างกฎหมายฉบับนี้นอกจากจะขัดรัฐธรรมนูญแล้ว ยังขัดต่อความเจริญของประเทศ ที่สำคัญจะมาเป็นการปิดกั้นและเป็นการทำลายเสรีภาพของประชาชน ผมจึงไม่เห็นด้วยกับร่างฉบับนี้”