ทัศนะ โดย.. เมือง ไม้ขม
เดือนธันวาคม เดือนสุดท้ายก่อนสิ้นปี 2565 นับเป็นเดือนที่เรียกว่า เข้าสู่โหมดการเลือกตั้งอย่างเต็มตัว เห็นได้จากปรากฏการณ์สภาล่ม เพราะ ส.ส.ขาดประชุม ไม่สนใจหน้าที่ในสภา แต่ให้ความสนใจในการลงพื้นที่และการวิ่งเต้นเจรจาเพื่อการย้ายพรรค มีการยื่นใบลาออกจากพรรคหนึ่งเพื่อไปอยู่อีกพรรคหนึ่ง
หลายพรรคการเมืองเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครเพื่อเป็นการผูกมัด และเพื่อแย่งชิงความได้เปรียบ หลายพรรคดิ้นเฮือกสุดท้ายเพื่อไปต่อด้วยการควบรวม เพื่อหนีปัญหาการเลือกตั้งแบบบัตร 2 ใบ และหาร 100 ทั้งหมดคือ ปรากฏการณ์ของประเทศไทยที่เข้าสู่บรรยากาศของการเลือกตั้ง ที่รอเพียง "บิ๊กตู่" จะถือฤกษ์งามยามดีในวันไหนประกาศยุบสภา เพื่อให้ ส.ส.ได้ย้ายพรรคตามห้วงเวลาที่กฎหมายกำหนด และถึง "บิ๊กตู่" จะยื้อเวลาเพื่อนั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไปเรื่อยๆ สุดท้ายแล้ว เดือนมีนาคม 2566 ก็หมดวาระของรัฐบาลและต้องจัดให้มีการเลือกตั้งอยู่ดี
สำหรับพรรคการเมืองที่อื้อฉาวในการใช้พลังดูด ส.ส.จากพรรคอื่นๆ มากที่สุดในการเลือกตั้งครั้งหน้า หนีไม่พ้นพรรคภูมิใจไทย ซึ่งมีการเปิดตัว เปิดที่ทำการพรรคที่รีโนเวตใหม่ พร้อมโชว์พลังดูด ส.ส.จากพรรคต่างๆ เพื่อให้เห็นตัวเลขของ ส.ส.ของพรรคในสมัยหน้า ซึ่งผู้ที่ถูกดูดก็เป็น ส.ส.หน้าเก่าๆ แสดงให้เห็นว่า ภูมิใจไทยไม่สนใจในการสร้างนักการเมืองรุ่นใหม่ให้เกิดขึ้น แต่ใช้พลังดูดเอา ส.ส.จากพรรคอื่นเข้ามา ด้วยการเชื่อว่าในการเลือกตั้งในปี 2566 จะได้ ส.ส.มากขึ้น เพื่อเป็นแกนนำในการเข้าร่วมเป็นรัฐบาล
เช่นเดียวกับพรรคเฉพาะกิจที่ตั้งขึ้นมาเพื่อภารกิจในการส่ง "บิ๊กตู่" ให้เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 3 อย่าง "พรรครวมไทยสร้างชาติ" ที่ไม่มีนโยบายสร้างนักการเมืองหนุ่ม-สาว ที่เป็นคนรุ่นใหม่ให้ได้เป็น ส.ส. แต่ใช้พลังดูดและพลังบีบให้ ส.ส.จากพรรคต่างๆ ที่เชื่อว่าเป็น ส.ส.ดาวฤกษ์ ที่มีแสงสว่างในตัวเองมาอยู่ในพรรคให้มากที่สุด ซึ่งปรากฏเป็นข่าวว่า รวมไทยสร้างชาติ อย่าว่าแต่จะสร้างชาติเลย เพราะแม้แต่จะสร้างพรรคให้เป็นไปตามราคาคุยก็ยังไม่ได้
เช่นเดียวกับ พรรคสร้างอนาคตไทย ที่ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ สุดท้ายกลายเป็นบ้องกัญชา วิ่งเจรจาเพื่อการควบรวมกับหลายพรรคการเมือง แต่ดีลล่ม ส.ส.และอดีต ส.ส.จากพรรคการเมืองอื่นที่ตกปากรับคำว่า จะเข้าร่วมเพื่อส่ง "สมคิด จาตุศรีพิทักษ์" ให้ไปถึงดวงดาวในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เกิดสะดุดตอ จะไปต่อหรือพอแค่นี้ต้องติดตามข่าวสารและสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นการบอกว่า อย่าว่าแต่จะสร้างอนาคตไทยเลย แม้แต่สร้างอนาคตของแกนนำพรรคยังทำท่าจะสร้างไม่สำเร็จ
สำหรับพรรคพลังประชารัฐ เป็นพรรคการเมืองที่มีการใช้พลังในการดูดกลับ เพราะมี ส.ส.จำนวนไม่น้อยที่ถูกพลังดูดจาก "น้องตู่" ที่ไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งหะแรกมีคนไม่น้อยปรามาสว่า บิ๊กป้อม จะเอาไม่อยู่กับพลังดูดจากพรรค "น้องตู่" แต่เอาเข้าจริงๆ เห็นชัดว่า "บิ๊กป้อม" มีบารมีทางการเมืองมากกว่าบิ๊กตู่ ส.ส.ที่เตรียมย้ายพรรคเกิดลังเลไม่ย้าย ที่ย้ายไปก็มีบางคนย้ายกลับ เพราะรู้สึกได้ว่า "บ้านป่ารอยต่อ" อบอุ่นกว่าและมีของกินมากกว่า มีข่าวว่าสำหรับ ส.ส.เกรดเอแล้วจะมีกินแบบไม่อั้นด้วย
แต่จากการติดตามดูไม่เห็นพรรคการเมืองไหนที่คิดจะสร้างคนรุ่นใหม่ที่สนใจการเมืองเพื่อลงรับสมัครเป็น ส.ส.ในพรรค มีเพียงประชาธิปัตย์เพียงพรรคเดียวที่เปิดตัวคนรุ่นใหม่ เพื่อเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งในครั้งหน้า และมีการติวเข้มว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.คนรุ่นใหม่ มียุทธศาสตร์ในการหาเสียงกับประชาชนในเขตเลือกตั้ง โดยไม่มีนโยบายในการดูด ส.ส.หรือสมาชิกจากพรรคการเมืองอื่นๆ เข้ามารับการเลือกตั้ง นี่เป็นเสน่ห์ของประชาธิปัตย์ ที่มีลักษณะเป็นสถาบันการเมือง ที่พรรคการเมืองอื่นๆ ไม่มี
การเลือกตั้งครั้งใหม่จะเห็นคนหนุ่มคนสาวที่มีคุณภาพเดินเข้าสู่พรรคประชาธิปัตย์ เสนอตัวต่อประชาชนในสนามเลือกตั้ง เช่น จ.สงขลา เขตเลือกตั้งที่ 1 มี "สรรเพชญ บุญญามณี" และเขตเลือกตั้งที่ 9 มี “ศักดิ์สิทธิ์ ขาวทอง” 2 ผู้สมัครที่เป็นคนรุ่นใหม่เป็นทางเลือกให้ประชาชนได้เลือก ซึ่งก่อนหน้านี้ในการเลือกตั้งซ่อมในเขตเลือกตั้งที่ 6 จ.สงขลา ประชาธิปัตย์ก็ประสบความสำเร็จในการส่งคนรุ่นใหม่ที่เป็นสุภาพสตรี อย่าง สุภาพร กำเนิดผล หรือน้ำหอม ให้ได้เป็น ส.ส. ซึ่งเป็น ส.ส.ผู้หญิงคนแรกของ จ.สงขลามาแล้ว
หรือการส่ง “เมธี ลาบานูน” ซึ่งนอกจากเป็นอดีตนักร้องที่มีชื่อเสียงแล้ว ยังเป็นผู้มีการศึกษามีความรู้ลงสมัคร ส.ส.ใน จ.นราธิวาส "ดร.ปิยกาญจน์ สุพรรณชนะบุรี" ลงสมัครในพื้นที่เขต 2 จังหวัดพัทลุง และ "ธนชาดา จันทวารา" ในเขตเลือกตั้ง จ.อำนาจเจริญ "ปานราศี ครุฑขุนทด" ลงสมัครในเขต จ.นครราชสีมา เป็นการนำเอาคนหนุ่มคนสาว ที่เป็นคนรุ่นใหม่เข้าสู่สนามการเมือง เป็นการแสดงให้ว่า ประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองที่ไม่ย่ำเท้ากับที่ และเป็นพรรคที่มีเสน่ห์ เพราะมีคนรุ่นใหม่ที่สนใจเรื่องการเมือง ให้ความสนใจเสนอตัวเข้ามาเพื่อให้ประชาชนจะได้ตัดสินใจทางการเมือง
ก็ต้องติดตามกันว่า "เลือดใหม่" ของประชาธิปัตย์ในสนามเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนหรือไม่ เพราะประชาชนวันนี้ไม่เหมือนกับประชาชนเมื่อในอดีต เพราะพวกเขาเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร การซื้อตัวการขายตัวของ ส.ส. การย้ายคอกหรือย้ายพรรค ส่วนหนึ่งหนีตาย แต่ส่วนหนึ่งมีนัยแอบแฝง
และแม้ว่าในการเลือกตั้งที่ผ่านๆ มา การซื้อเสียงจะเป็นปัจจัยที่สำคัญในการเลือก ส.ส. แต่ปรากฏการณ์ที่รับเงินแล้วไม่เลือก ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ ส.ส.และพรรคการเมืองที่หวังซื้อเสียงเพื่อเดินเข้าสภา "สอบตก" และเป็นโอกาสของพรรคที่เบี้ยน้อยหอยน้อยอย่างประชาธิปัตย์ที่ส่งนักการเมืองที่เป็นคนรุ่นใหม่ ที่มีวิสัยทัศน์ มีการศึกษา ให้เดินเข้าสู่สภาผู้แทนในการเลือกตั้งในปี 2566 ที่จะถึงนี้