xs
xsm
sm
md
lg

เกษตรกรแฉไร้หน่วยงานแก้ปัญหา ยกกรณี “มือปราบทุเรียนอ่อน” ลาออก ตอกหน้ากระทรวงเกษตรฯ ซ้ำ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นครศรีธรรมราช - ปัญหาทุเรียนนอกฤดูเพื่อการส่งออกที่ จ.นครศรีธรรมราช ราคาร่วงหนัก เกษตรกรแฉยังไร้หน่วยงานใดเข้าแก้ไข ยกกรณี “มือปราบทุเรียนอ่อน” ลาออกจากราชการ ตอกหน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซ้ำ ถามเจ็บแท้ที่จริงคือการสมประโยชน์ของผู้มีอำนาจหรือไม่ ด้าน ผวจ.สั่งเกษตรจังหวัดเข้าตรวจสอบ แต่รับทำได้ยาก

ที่ จ.นครศรีธรรมราช ระยะนี้เป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต “ทุเรียนทวาย” หรือทุเรียนนอกฤดูกาลเพื่อการส่งออก และกำลังเข้าสู่ปลายฤดูกาลทำทวาย โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.ท่าศาลา อ.นบพิตำ และใกล้เคียง ซึ่งเป็นพื้นที่ผลิตทุเรียนคุณภาพของ จ.นครศรีธรรมราช สร้างรายได้ให้พื้นที่ และมีสัดส่วนมูลค่าการส่งออกให้ประเทศไทยหลายหมื่นล้านบาท หรือทะลุนับแสนล้านบาทต่อปี แต่กลับเกิดปัญหาทุเรียนราคาตกต่ำอย่างมาก จากปัญหาที่เกษตรกรเชื่อว่าเป็นผลพวงจากมาตรฐานในการควบคุมคุณภาพที่ถูกละเลย หรือไม่เข้มข้นเหมือนปีการผลิตก่อนๆ และปัญหาจาก “ล้ง” หรือผู้รับซื้อเร่งเก็บเกี่ยวผลผลิต เนื่องจากปลายทางมีความต้องการสูง จึงทำให้ทุเรียนที่ถูกส่งออกไปนั้นไม่ได้คุณภาพตามเกณฑ์

ความคืบหน้าล่าสุด วันนี้ (1 ธ.ค.) สถานการณ์ปัญหาราคาทุเรียนตกต่ำลงอย่างมากในขณะนี้ดูเหมือนว่าปัญหาจะจบลงแล้ว เกษตรกรรายใหญ่ในพื้นที่รายหนึ่ง ซึ่งไม่ขอแสดงตัวได้ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า ปัญหาที่จะจบลงไม่ใช่ว่าได้รับการแก้ไข ไม่ได้ถูกแก้ปัญหา แต่จบลงเนื่องจากกำลังจะหมดฤดูทวาย คือรอบการผลิตมีผลผลิตหมดลง และกำลังเข้าสู่ฤดูกาลผลิตใหม่ ปัญหาเดิมจะเกิดขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากยังไม่มีการทำอะไรให้เป็นรูปธรรมในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช แม้ว่าเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาจะเป็นข่าวโด่งดัง จนระดับกระทรวงมีการสั่งการกันอย่างว่องไว แต่รู้หรือไม่ว่าในพื้นที่ไม่ได้มีการทำอะไรเลย เหมือนเล่นละครฉากใหญ่ และเชื่อว่าปัญหาใหญ่นี้จะกลับมาอีกครั้ง ทุเรียนที่เป็นผลไม้ส่งออกจากหลายจังหวัดของภาคใต้ และภาคตะวันออกของประเทศไทย ไปยังต่างประเทศรวมนับแสนล้านบาทต่อปีกำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤต ไม่นับรวมจากประเทศย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่กำลังมีพื้นที่ผลิตเพิ่ม ประเทศผู้บริโภคมีทางเลือกมากกว่า


เกษตรกรรายใหญ่รายนี้ยังระบุอีกว่า ทางการยังไม่รู้เลยว่าระหว่างทุเรียนหลายจังหวัดภาคใต้ที่ จ.นครศรีธรรมราช อยู่ในพื้นที่ สวพ.7 (สวพ. คือสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร) จริงอยู่ แต่ทุเรียนที่ได้จากภายใต้จะมีการไหลไปรวมกันอยู่ที่พื้นที่ สวพ.6 เช่น จ.จันทบุรี เพื่อรวบรวมก่อนเคลื่อนย้ายส่งออกไปยังประเทศจีน ถามว่าทำไมก่อนหน้านี้สามารถยุติปัญหาทุเรียนอ่อนได้ในพื้นที่ สวพ.6 จน นายชลธี นุ่มหนู ผู้อำนวยการ สวพ.6 ในขณะนั้นได้รับการขนานนามว่าเป็น “มือปราบทุเรียนอ่อน” จนมีชื่อเสียงโด่งดังข้ามประเทศในเรื่องการควบคุมคุณภาพทุเรียน ถามว่าเกิดอะไรขึ้น จึงมีการกดดัน และมีการโยกย้าย จนปัจจุบัน นายชลธี ไม่สามารถทนต่อระบบแบบนี้ได้ ต้องลาออกจากราชการไปแล้ว เมื่อ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา และมีผลเมื่อวานนี้ (30 พ.ย.)

“ถามว่าการโยกย้ายนายชลธี มีการสมประโยชน์ของใครบางคนหรือไม่ มีอำนาจใดเข้าไปแทรกแซงบ้าง หลังจากคำสั่งโยกย้าย “ทุเรียนไทย” กำลังเข้าสู่วิกฤตอย่างเห็นได้ชัด เกิดจากปัญหานี้หรือไม่ และเมื่อพิจารณาแล้วใครได้ผลประโยชน์สูงสุด จากการพ้นตำแหน่งหน้าที่ไปของนายชลธี มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างไร วงการทุเรียนไทยต่างรู้ดี แต่หลายคนกลัวที่จะพูด เนื่องจากเกรงอำนาจ เกรงผลกระทบที่จะตามมา” เกษตรกรรายนี้ กล่าวในที่สุด

ขณะที่ นายอภินันท์ เผือกผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ระบุว่า ปัญหานี้ได้สั่งการให้เกษตรจังหวัดนครศรีธรรมราช เกษตรสหกรณ์นครศรีธรรมราช เข้าไปเร่งติดตาม ปัญหาใหญ่อีกเรื่อง คือเรื่องข้อมูลที่ผู้รับผิดชอบจะต้องชัดเจน และมีพร้อม โดยเฉพาะเรื่องพื้นที่การปลูก การผลิต หากมีการฝ่าฝืนต้องดำเนินการตามกฎหมาย และขณะนี้กำลังดำเนินการเรื่องการสุ่มตรวจทุเรียน นอกจากนั้น ปัญหาล้งผู้ซื้อที่รวมตัวกันแล้วสามารถตัดทุเรียนได้ตามความต้องการโดยไม่แก่จัด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ระบุว่า เกษตรกรต้องรวมตัวสู้เช่นกันเพื่อให้ได้ผลผลิตที่มีคุณภาพจริงๆ ก่อนที่จะมีการตัดขาย

นายชลธี นุ่มหนู อดีตผู้อำนวยการ สวพ.6
สำหรับ นายชลธี นุ่มหนู อดีตผู้อำนวยการ สวพ.6 ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวถึงเรื่องนี้ ก่อนที่จะยื่นหนังสือลาออก โดยระบุว่า #การต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีข้าราชการ ความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ตาย จะพูดให้ดูดีอย่างไร ท้ายที่สุดแล้วความจริงย่อมปรากฏ

1.การย้ายแบบฟ้าผ่า ไม่มีการแจ้งล่วงหน้าหรือบอกกล่าวแม้มีอำนาจก็ตาม ผู้บริหารที่อยู่ในตำแหน่งสูงต้องโน้มตัวลงหาผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเสมอ

2.เป็นการย้ายสลับตำแหน่งกันระหว่าง ผอ.สวพ.6 กับ ผอ.กมพ. (กมพ. คือกองพัฒนาระบบและรับรองมาตรฐานสินค้าพืช) ที่อยู่ในระดับเดียวกัน ไม่ได้สูงขึ้น ถ้าบอกว่าย้ายไปตำแหน่งสูงขึ้น อีกคนก็ต้องถูกย้ายไปตำแหน่งต่ำลง

3.ย้ายตามวาระ 4 ปี จนป่านนี้ยังค้นหาระเบียบข้าราชการพลเรือนที่บอกว่า ผอ.สำนัก/กอง ต้องย้ายเมื่อครบวาระ 4 ปีไม่เจอ เพราะไม่มี ถ้ามีคงเดือดร้อนกันแน่ เพราะมี ผอ.กอง/สำนัก หลายคนที่อยู่เกิน 4 ปี บางคนอยู่เกิน 10 ปีด้วยซ้ำ

4.ย้ายเพราะความเก่งกล้าสามารถจะได้ไปทำงานระดับประเทศ ขับเคลื่อน GAP/GMP ตรวจทุเรียนอ่อนได้ทั่วประเทศ ถ้าทำได้จริงอย่างที่พูด ผอ.กมพ.คนก่อนๆ คงทำแล้ว และ ผอ.กมพ.คนปัจจุบันก็ต้องทำได้เช่นกัน การที่จะขับเคลื่อน GAP หรือควบคุมทุเรียนอ่อน เป็นหน้าที่ของ สวพ.แต่ละเขต กมพ.เป็นแค่หน่วยงานสนับสนุน ความสำเร็จอยู่ที่การทำงานเชิงรุก และทำงานเป็นทีม ยิ่งการให้ไปตรวจจับทุเรียนอ่อนนี่ทำไม่ได้เลย เพราะไม่มีกฎหมายรองรับ

5.ย้ายเพื่อจะให้ไปสร้างความก้าวหน้าในพื้นที่อื่นบ้าง แล้วเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่มาแทน แนวคิดนี้อาจต้องทบทวน เพราะสุ่มเสี่ยงต่อความล้มเหลวมาก การอยู่ในพื้นที่เป็นเวลานาน สิ่งที่ได้คือเครือข่ายที่กว้าง เอื้อต่อการทำงาน หากย้ายบ่อยก็ต้องไปสร้างเครือข่ายใหม่ ยังไม่ทันได้เครือข่ายก็ถูกย้ายอีกแล้ว จะทำงานได้อย่างไร ที่ สวพ.เขตอื่นขับเคลื่อนงานไม่ได้เหมือนเขต 6 ก็เพราะเหตุผลนี้ #สุดท้ายก็สรุปได้ว่าถูกย้ายเพราะอะไรแต่ไม่ใช่อย่างที่พูดแน่นอน

ที่ตัดสินใจลาออกเพราะเคยเรียนผู้บริหารไว้แล้วว่า ถ้าย้ายออกจาก จ.จันทบุรี บ้านเกิด ต้องลาออก เพราะไม่ประสงค์จะก้าวหน้ากว่านี้ และต้องการทำงานให้เกษตรกรในพื้นที่มากกว่า การตัดสินใจลาออกไม่ใช่ขัดขืนคำสั่ง แต่เป็นการรักษาศักดิ์ศรีข้าราชการ

อ่านข่าวเกี่ยวเนื่อง :
ชาวสวนระงม! “ทุเรียนทวาย” ราคารูดหนัก เชื่อผลพวงโยกย้ายมือปราบทุเรียนอ่อน




กำลังโหลดความคิดเห็น