นพ.สุนทร ศรีสุวรรณ์ อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านออร์โธปิดิกส์ (กระดูกและข้อ) โรงพยาบาลศูนย์หาดใหญ่
จากวิวัฒนาการทางการแพทย์ในปัจจุบันที่เจริญก้าวหน้าไปมาก ทำให้สามารถยืดอายุขัยของมนุษย์ได้ยาวนานมากขึ้น ทำให้กลุ่มประชากรผู้สูงอายุของทั้งโลกมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกๆ ปี สำหรับในประเทศไทย ในปี พ.ศ.2565 คาดการณ์ว่ามีประชากรสูงอายุประมาณ 12 ล้านคน และน่าจะมีผู้ป่วยที่เป็น “โรคกระดูกพรุน” อยู่ประมาณ 3-4 ล้านคน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นพบว่าผู้ป่วยมากกว่าร้อยละ 50 ไม่ทราบว่าเป็นโรคนี้ และไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม
ความสำคัญของโรคกระดูกพรุน
นพ.สุนทร ศรีสุวรรณ์ ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ (กระดูกและข้อ) โรงพยาบาลศูนย์หาดใหญ่ กล่าวว่า โรคนี้เปรียบเหมือนภัยเงียบ คือ “เป็นโรค แต่ไม่รู้ตัว” ไม่ค่อยแสดงอาการ กว่าจะรู้บางทีก็เกิดกระดูกหักแล้ว หากเป็นกระดูกชิ้นเล็กหัก เช่น กระดูกข้อมือ กระดูกฝ่าเท้า อาจจะไม่กระทบต่อการดำเนินชีวิตมาก
แต่หากเป็นกระดูกส่วนที่สำคัญ เช่น กระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก จะส่งผลให้เกิดภาวะทุพพลภาพมาก และผู้ป่วยบางรายอาจจำเป็นต้องรับการผ่าตัด (ซึ่งผู้สูงอายุ ย่อมมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนมากกว่าคนหนุ่มสาว) และผลการผ่าตัดในผู้ป่วยบางรายอาจไม่ดีมากนัก
ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยของผู้ป่วยเป็นสำคัญ เช่น โรคประจำตัว ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ความสามารถในการเรียนรู้กระบวนการกายภาพบำบัด ดังนั้น สิ่งที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้ เป็นหัวใจสำคัญในการดูแลกลุ่มผู้สูงอายุ
สาเหตุของโรคกระดูกพรุน
ปกติกระดูกของคนเราจะมีความหนาแน่นของเนื้อกระดูกสูงสุดในช่วงอายุประมาณ 30 ปี หลังจากนั้นเมื่ออายุมากขึ้น ความหนาแน่นของกระดูกจะค่อยๆ ลดลงตามวันเวลา ทำให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลงด้วย หากเปรียบเทียบกระดูกก็เหมือนโครงสร้างบ้าน เทียบได้กับปูนและเหล็กเส้น เมื่อเวลาผ่านไปเหล็กก็เสื่อมสภาพ อาจเกิดสนิม เนื้อปูนอาจกะเทาะหลุดลอก ทำให้บ้านเสี่ยงต่อการทรุดตัวพังทลายลงมา
กระดูกก็เช่นกัน เมื่อเนื้อกระดูกลดน้อยลงทำให้มีโอกาสหักยุบ งอตัวได้ง่ายขึ้น ผู้ป่วยบางรายอาจไม่ได้ทำงานอะไรหนัก หรือรับอุบัติเหตุใดๆ แค่ก้มตัวบางทีกระดูกก็เกิดการยุบตัวได้เอง อันเป็นผลสืบเนื่องจากโครงสร้างกระดูกที่เสื่อมสภาพนั่นเอง
อาการของโรคนี้อาจตรวจพบอาการบางอย่าง
1.ความสูงที่ลดลงอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีสาเหตุ กระดูกสันหลังโก่งโค้งงอมากขึ้น (หลังค่อม)
2.ปวดตามข้อทั่วร่างกายเป็นเวลานาน โดยเฉพาะกระดูกที่รับน้ำหนักร่างกาย เช่น กระดูกสันหลัง กระดูกสะโพก
3.กระดูกหัก ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนสุดท้ายแล้ว แปลว่ากระดูกพรุนมากจนไม่แข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนัก หรือทนต่อแรงกระแทกต่างๆ
ส่วนใหญ่ผู้ป่วยโรคนี้จะวินิจฉัยเป็น 2 กลุ่ม
1.กลุ่มที่ยังไม่เกิดภาวะกระดูกหัก ส่วนใหญ่กลุ่มนี้อาจได้รับการวินิจฉัยจากการตรวจสุขภาพ หรือพบแพทย์เฉพาะทางมาก่อน ทำให้สามารถวินิจฉัย และรักษาโรคนี้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ
2.กลุ่มที่เกิดภาวะกระดูกหักแล้ว ผู้ป่วยกลุ่มนี้มาโรงพยาบาลเพราะว่ามีภาวะกระดูกหักเกิดขึ้นแล้ว เป้าหมายการรักษาในผู้ป่วยกลุ่มนี้ คือรักษากระดูกที่หัก และลดโอกาสการเกิดกระดูกหักที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต
ฉะนั้น ความสำคัญของการวินิจฉัยโรคนี้คือ “ความใส่ใจ ตระหนักรู้ โรคกระดูกพรุน” คือสิ่งที่สำคัญที่สุด
ปัจจัยเสี่ยงโรคกระดูกพรุนมีอะไรบ้าง
ผู้สูงอายุทุกคน โดยเฉพาะผู้หญิงที่อายุมากกว่า 65 ปี และผู้ชายที่อายุมากว่า 70 ปี สตรีวัยหมดประจำเดือนทุกคน ทั้งที่ประจำเดือนหมดเองโดยธรรมชาติ และสตรีที่ประจำเดือนหมดจากสาเหตุอื่นๆ หากใครยิ่งหมดประจำเดือนมานานจะยิ่งเสี่ยงมากขึ้น รูปร่างผอม ตัวเล็ก (ค่าดัชนีมวลกาย BMI น้อยกว่า 18) ใช้ยาสเตียรอยด์ต่อเนื่องเป็นเวลานาน สูบบุหรี่ หรือดื่มเหล้าเป็นประจำ เชื้อชาติโดยเฉพาะคนไทย ซึ่งเป็นชาวเอเชียก็เป็นปัจจัยเสี่ยง เคยมีประวัติโรคกระดูกพรุน หรือมีกระดูกสะโพกหักในครอบครัวมาก่อน รับประทานอาหารไม่เพียงพอ ขาดแคลเซียม [Poor Nutrition] ขาดการออกกำลังกาย โดยเฉพาะการออกกำลังที่มีการลงน้ำหนัก [Weight-Bearing Exercise] เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ [Rheumatoid Arthritis] และโรคไต
การดูแลตัวเองเพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุน
ทานอาหารครบ 5 หมู่ตามหลักโภชนาการ และเลือกทานอาหารที่มีแคลเซียม และวิตามินดีสูง เช่น นม โยเกิร์ต ปลาตัวเล็ก กุ้งแห้ง ผักใบเขียว พืชตระกูลถั่ว เต้าหู้ และงาดำ เป็นต้น ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น เดินเร็วๆ รำไทเก็ก รำกระบอง และเต้นลีลาศช้าๆ เป็นต้น ดูแลรักษาโรคประจำตัวอย่างต่อเนื่อง และปฏิบัติตัวอย่างเคร่งครัดตามคำแนะนำของแพทย์ ปรับเปลี่ยนสภาวะสิ่งแวดล้อมภายในบ้านเพื่อลดโอกาสการหกล้ม เช่น เพิ่มหลอดไฟในจุดที่มีโอกาสหกล้ม ปรับพื้นห้องน้ำให้ระดับเดียวกัน และเพิ่มราวจับเพื่อช่วยทรงตัวในจุดที่มีโอกาสหกล้ม เป็นต้น
การตรวจวินิจฉัยทางการแพทย์ การตรวจที่เป็นมาตรฐานในปัจจุบันคือ การตรวจเอกซเรย์เพื่อหาความหนาแน่นของมวลกระดูก หรือเรียกทางการแพทย์ว่า DEXA scan (เด๊กซา สแกน) โดยเป็นการตรวจโดยใช้รังสีเอกซเรย์ทางการแพทย์เช่นกัน (แต่ใช้ในปริมาณที่น้อยกว่ามาก และไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์) ตรวจบริเวณกระดูกสันหลัง และกระดูกสะโพก โดยการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกระดูกพรุน ค่าความหนาแน่นกระดูกที่ได้ต้องน้อยกว่าหรือเท่ากับ -2.5 (ลบ 2.5) ซึ่งแนะนำให้เริ่มทำการรักษาโดยใช้ยาสำหรับโรคกระดูกพรุนได้ทันที
ซึ่งตามปกติเครื่องตรวจความหนาแน่นกระดูกนี้จะมีราคาแพง และมีใช้ตามโรงพยาบาลใหญ่ๆ เท่านั้น ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เล็งเห็นความสำคัญของโรคนี้เป็นอย่างมาก จึงได้มีการพัฒนาเครื่องมือตรวจคัดกรองอีกรูปแบบหนึ่งที่สามารถใช้ตรวจประเมินความเสี่ยงโอกาสที่จะเกิดกระดูกหักในอนาคต เรียกว่า FRAX Tool ซึ่งสามารถทำการคำนวณผ่านทางโทรศัพท์มือถือที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งหมอขอไม่กล่าวรายละเอียดเชิงลึก แต่เชื่อเหลือเกินว่าแพทย์เฉพาะทาง ณ โรงพยาบาลใกล้บ้านของท่านที่เกี่ยวข้องกับโรคนี้สามารถใช้ FRAX Tool และรักษาโรคกระดูกพรุนได้อย่างแน่นอน
“อ่านจบแล้วอย่าลืมกลับไปดูปัจจัยเสี่ยง และพาคนที่คุณรักไปตรวจหา “โรคกระดูกพรุน” จะได้รักษาแต่เนิ่นๆ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีตลอดไป”
สามารถหาความรู้โรคกระดูกและข้อเพิ่มเติมได้ที่ www.thedoctorbone.com